xs
xsm
sm
md
lg

SCBAMปูพรมออกกองใหม่รับQ2เข็นพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์-เอฟไอเอฟเอาใจนักลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.ไทยพาณิชย์ ปูพรมออกกองทุนใหม่ประเดิมรับไตรมาส 2 ล่าสุดเตรียมเกาะแสพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ นำเสนอนักลงทุนถึง 2 โครงการ พร้อมเล็งตั้งเอฟไอเอฟ ลุยคอมมอดิดี้อีก 2 กอง ลงทุนทอง – น้ำมัน- พืชไบโอดีเซล ปิดท้ายด้วยพลังงานทางเลือก มั่นใจตลอดทั้งปีเอยูเอ็มโตตามเป้าเดิม พร้อมเร่งออกกองใหม่ๆเพิ่มอีกเพื่อทดแทนในส่วนECPที่หมดอายุ หวังดึงลูกค้าลงทุนต่อไม่กระทบเอยูเอ็ม

นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2 กอง ออกมาเสนอขายแก่นักลงทุน โดยสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนนั้น ยังเป็นธุรกิจ เกี่ยวกับ โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ หรือออฟฟิศ บิวด์ดิ่ง เช่นเดิม

ทั้งนี้ ตลอดทั้งปี 2551 นี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองใหม่รวมทั้งสิ้น 4 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนการเพิ่มทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้เฮ้าส์หรือ Quality Houses Property Fund (QHPH) นั้นยังจะไม่ดำเนินการภายในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ บริษัทยืนยันว่าจะใช้นโยบายสิทธิการเช่าสินทรัพย์ (List Hole) ในการจัดตั้งกองทุนรวมอสัหงาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนี้เช่นเดิม

“บริษัทประเมินว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นั้นเป็นทางเลือกที่ดีอีกช่องทางหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ขณะนี้ เพราะสามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างมั่นคงและอยู่ในระดับสูงถึง 6-9%”นายกำพล กล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) จำนวน 3 กองทุนในไตรมาส 2 นี้เช่นกัน โดยแบ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนใน Hard Commodity และ Soft Commodity โดยเฉพาะพลังงานทดแทน ส่วนการลงทุนผ่านสินค้าเกษตรโดยตรงนั้น บริษัทประเมินว่า สินค้าเกษตรมีการปรับตัวขึ้นลงตามภาวะสิ่งแวดล้อมต่างๆทำให้มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนน้อย ตรงข้ามกับในส่วนของพืชผลที่สามารถนำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้ จะมีความน่าสนใจเข้าไปลงทุนมากกว่า เพราะสามารถสร้างผลตอบกลับคืนมาได้ในระดับสูง

ทั้งนี้ การลงทุนใน Hard Commodity ที่บริษัทสนใจได้แก่ ทองคำ และน้ำมัน เพื่อประเมินว่าสินค้าทั้งชนิด ยังมีโอกาสที่ราคาจะขยับปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต แม้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจช้าไปที่จะเข้าไปลงทุนผ่านสินค้าประเภทนี้ในช่วงงนี้ แต่ในภาพรวมสินค้าทั้ง 2 ประเภทยังมีแนวโน้มการเติบโตสูงอยู่

โดยเฉพาะการลงทุนผ่านทองคำนั้น บริษัทประเมินว่ายังมีโอกาสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงไปกว่าปัจจุบันอีก เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีความผันผวน ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่อยากถือเงินสกุลดังกล่าวไว้นาน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำอาจปรับตัวลดลง แต่ในทางกลับกันยังปัจจัยหนุนหลายปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้อีก โดยในอนาคตราคาทองคำอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 เหรียญต่ออนซ์ได้เช่นกัน

นอกจากนี้อีกหนึ่งกองทุนเอฟไอเอฟของบริษัท จะทำการลงทุนลงทุนในหุ้นทางเลือก โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมของโลก เพราะเชื่อว่าธุรกิจประเภทนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระดับสูงได้ในอนาคต ซึ่งจะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือกและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในกลุ่มพลังงานทางเลือก เช่น บริษัทผลิตกังหันลม และโรงงานบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกกองทุนต่างประเทศที่จะเข้าไปลงทุน

อย่างไรก็ตาม กองทุนเอฟไอเอฟที่ลงทุนในพลังงานทางเลือกของบริษัทนั้น จะมีความแตกต่างกับกองทุนพลังงานทางเลือกอื่นๆ เนื่องมาจากกองทุนจะลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก เช่น โรงงานผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่เน้นลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจพลังงานทางเลือกโดยตรงเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้รับความน่าสนใจ บริษัทเหล่านี้จะเป็นส่วนแรกที่ได้รับประโยชน์ดังกล่าวเช่นกัน

"ถ้าธุรกิจพลังงานทางเลือกบูม ก็จะเกิดการขยายตัว ซึ่งบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัทผลิตกังหันลมไฟฟ้า ก็จะได้รับประโยชน์เพราะเป็นบริษัทต้นทาง และจะได้รับประโยชน์ก่อนหน้าบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกโดยตรงอีกด้วย" นายกำพล กล่าว

ส่วนของกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เอเชียน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ฟันด์ (SCBAEM) ที่เปิดขายไปเมื่อไม่นานมานี้ บริษัทยอมรับว่าช่วงนี้มีผลตอบแทนออกมาไม่ดีเท่าไร จากภาวะการลงทุนในปัจจุบัน แต่ขณะนี้ยังไม่นักลงทุนรายใดเข้ามายื่นความจำนงค์ขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าวเลย เพราะนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเป็นอย่างดี และเข้าใจว่าจะต้องถือหน่วยลงทุนในระยะยาวหรืออย่างน้อย 1 ปี เพื่อรอรับผลตอบปแทนที่สูง

นายกำพล กล่าวว่า สำหรับในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงนี้ ย่อมส่งผลให้ผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นหากใครที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ ควรที่จะมองหาการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาที่ยาวขึ้น เพื่อรอรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามตัว อาทิ ตราสารหนี้ระยะเวลา 1 ปี

สำหรับกรณีที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม)ของบริษัทในไตรมาส 1/2551 ปรับตัวลดลงประมาณ 10,000 ล้านบาทนั้น มีสาเหตุมาจากในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการออกกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ของสถาบันการเงินในยุโรป (ECP ) ระยะสั้นประมาณ 3 – 6 เดือนออกมาเป็นจำนวนมาก โดยมีมูลเงินลงทุนรวมกว่า 8 – 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1 ผ่านมามีบางกองที่ครบกำหนดบริษัทจึงต้องจ่ายคืนเงินลงทุนให้แก่ลูกค้า ทำให้ตัวเลขเอยูเอ็มของบริษัทปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม หลักจากวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใหม่ ซี่งสามารถระดมทุนได้กว่า 4,500 ล้านบาท แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่สามารถนำไปบันทึกในผลดำเนินงานไตรมาส1ได้ เพราะหากสามารถนำมาบันทึกในไตรมาสดังกล่าวได้ จะทำให้ยอดเอยูเอ็มของบริษัทลดลงไม่มาก ดังนั้นโดยภาพรวมตลอดทั้งปีมั่นใจว่ามูลค่าเอยูเอ็มของบริษัทจะไม่ปรับตัวลดลงจากเดิมแน่ และยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 120,000 ล้านบาทแน่

“เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา มีกองทุนECP ที่ครบกำหนดอายุอีก 8,000 ล้านบาท แต่ทางบริษัทได้จัดเตรียมกองทุนใหม่ๆรองรับเม็ดเงินจากกองทุนที่ครบกำหนดโครงการไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีกองทุนECP อีกหลายกองที่จะทยอยครบกำหนดในช่วงไตรมาส 2 นี้ ทำให้บริษัทจำเป็นที่จะต้องนำเสนอกองทุนใหม่ให้แก่ลูกค้าโดยตลอด”นายกำพล กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น