มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเศรษฐกิจตอนนี้ถึงขั้นข้าวยากหมากแพงแล้วหรืออย่างไร ทั้งในเรื่องของราคาข้าว และสินค้าต่างๆ มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก แต่ที่ใครๆ ต่างพากันขยาดมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งนับว่าเป็นต้นทุนในส่วนของการผลิตประเภทหนึ่ง อีกทั้งยังมีความต้องการใช้ในชีวิตประจำวันอีกเป็นจำนวนมาก
ที่ผ่านมาคงพอจำกันได้ว่ามีกูรูหลายท่านออกมาคาดการณ์ไว้ว่าราคาน้ำมันจะสูงถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากปัจจัยทางด้านต่างๆ ทั้งการที่ตัวมันเองเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปไม่สามารถผลิตทดแทนได้ และการเก็งกำไรของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ รวมถึงการจำกัดการผลิตของกลุ่มประเทศโอเปก...
จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ในที่สุดแล้วราคาของมันได้ปรับตัวสูงถึง 105.97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลล์ในการซื้อขายวานนี้(9 เมษายน 2551)
ส่วนต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต้องลองมาฟังความเห็นของผู้คร่ำหอวดในธุรกิจน้ำมันอย่าง คุณเทวินทร์ วงศ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์เเละพัฒนาองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด มหาชน ซึ่งมองว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงนี้มีความผันผวนราคาสูงเป็นประวัติศาสตร์ โดยราคาเบนซินกับแก๊สโซลินจะแพงกว่าน้ำมันดีเซล แต่ในต่างประเทศดีเซลแพงกว่าแก๊สโซลีน ขณะที่ราคาภายในประเทศไทยดีเซลกลับถูกกว่า เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายลดหย่อนในการเก็บภาษี
สำหรับแนวโน้มราคาที่แน่นอนภายในประเทศ บรรดาบริษัทน้ำมันมักจะดูจากท่าทีก่อน การปรับขึ้นแต่ต้องมีแนวโน้มขึ้นอย่างต่อเนื่องและแน่นอน และถ้าหากการขึ้นราคากระชากวันต่อวัน จะต้องดูแนวโน้มวันต่อวันอีกทั้งเราต้องดูว่าวันต่อไปเราสามารถที่จะลดราคาน้ำมันลงไปได้หรือไม่ ส่วนมากการขึ้นราคาจะต้องดูผู้นำในการขึ้นราคา ในช่วงหลังๆเราจะเป็นผู้ตามในการขึ้น แต่จะเป็นผู้นำในการลงอีกด้วย โดยทั่วไปจะประกาศราคาน้ำมันในตอนเย็นเพราะฉะนั้นอยากรู้ว่าราคาน้ำมันเป็นอย่างไรให้รอเช็คข่าวได้ในตอนเย็น และในปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันเป็นตัวกำหนดในการปรับขึ้นราคาสินค้าต่างๆไม่ว่าจะเป็นของ กินของใช้ก็ได้รับผลสะท้อนมาจากการปรับตัวของราคาน้ำมันอีกด้วย
เทวินทร์ บอกอีกว่า ราคาน้ำมันในช่วงสามเดือนข้างหน้า ราคาจะขึ้นอย่างต่อเนื่องตลาดทั้งปีและบางช่วงอาจจะขึ้นมากกว่าเพราะโรงกลั่นมีข้อจำกัดจะทำให้แก๊สโซลิคเพิ่มขึ้น และในปีนี้ Q1 ราคาน้ำมันดูไบอยู่ที่ประมาณ 99 เหรียญ เกือบร้อยเหรียญ ไล่ไปเรื่อยๆยังไม่สูงสุด และจากราคานี้ก็ยังสามารถขึ้นได้อีกนิดหน่อยด้วยเช่นกัน
“ในช่วง 3 เดือนนี้จะขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และพลังงานที่ทางตะวันออกให้ไทยนำเข้าก็จะเห็นว่าเป็นพลังงานของปีนี้ จะเห็นว่าแนวโน้มมีการลดลงมา หากจะดูภาคของราคาเปิด ซื้อขายล่วงหน้าของตลาดโลก จะอยู่ประมาณ 9.9 เหรียญจนถึงปลายปี ตลาดโลกก็ยังมองไม่สูงนักราคาน้ำมันก็จะอยู่ที่ราคานี้”
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันโลกเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันในปีที่แล้วพ.ศ. 2550 และราคาน้ำมันดูไบในปีที่ผ่านมาขึ้นมา 51เหรียญ ตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปีราคาน้ำมันขึ้นมาอยู่ที่ 85 เหรียญ เฉลี่ยปีที่แล้วราคาขึ้นมาถึง 69 เหรียญต่อบาเรลล์เลยทีเดียว
เทวินทร์ บอกอีกว่า ในQ1ราคาน้ำมันดูไบอยู่ประมาณ 9.9 เหรียญไปจนถึงปลายปี หากเทียบในปัจจุบันราคาน้ำมันขึ้นบ้างลงบ้างนั้นมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ในส่วนของกองทุนที่เก็งกำไรนั้นเราต้องมองเป็งช่วงจังหวะหนึ่งๆ ต้องมองที่ผ่านมาว่าเงินในโลกจะหมุนไปเรื่อยๆและจะหมุนมาที่น้ำมัน เพราะมันสร้างผลตอบแทนได้ใน 2-3 ปีหลังจะหมุนมาที่น้ำมันกันเยอะ โดยเฉพาะพวก เฮดจ์ฟันด์ ซึ่งในเรื่องของดีมานซัพพลายที่พวกนี้เข้าไปเล่นจะมีผลเยอะต่อราคาน้ำมัน และทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช้ราคาน้ำมัน แต่เป็นพวกตราสารหนี้
สำหรับค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลงในปีถึงแม้จะเป็นผลดีกับเราในเรื่องของราคาน้ำมันบ้างแต่ไม่มากกับปีที่แล้ว โดยใน Q1 ปีนี้ เมื่อเทียบปีที่แล้ว ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมา 60% แต่ดอลลาร์อ่อนค่าแค่ 10% เราต้องเสียเงินมากขึ้นถึง 50% จากการเก็งราคาของพวกเฮจด์ฟีนด์ในช่วงราคาน้ำมันขึ้นนั่นเอง
ฟังแบบนี้แล้วหนาวจริงๆ กับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ไม่ว่าจะมาจากปัจจัยใดก็ตาม ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้ว คงจะมีการหาทางออกอื่นเพื่อจะลดภาระต้นทุนจากการใช้น้ำมันอย่างแน่นอน
ส่วนที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดในขณะนี้ เห็นจะเป็นเรื่องของการหาพลังงานบริสุทธิ์เพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ซี่งจะมีทั้งเรื่องของ พลังงานจากน้ำ ลม แสงแดด หรือแม้แต่สินค้าเกษตรบ้างประเภทที่สามารถนำมาผลิตใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
สรุปแล้วความผันผวนของราคาน้ำมันจะมีผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และอาจมีการพัฒนาพลังงานในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ไม่แน่ว่าในอนาคตรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนใครจะรู้ว่ามันอาจจะใช้น้ำเป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของมันก็เป็นได้ ซึ่งตอนนี้รถยนต์บางค่ายยังสามารถใช้ ไฮโรเจนแทนน้ำมันได้บ้างแล้ว
ไม่ว่าจะอย่างไรวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ สำหรับผู้ที่พบช่องทางและเชื่อว่านักลงทุนหลายท่านคงจะมองเทรนด์เหล่านี้ออก หลังจากมีการตื่นตัวโดยเฉพาะในส่วนของกองทุนรวมที่พยายามหาสินค้าที่น่าจะเป็นโอกาสในสถานการณ์เช่นนี้มาให้เลือกลงทุน แต่จะเลือกรูปแบบใดคงต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ อีกครั้ง และหวังว่าข้อมูลในวันนี้คงจะมีประโยชน์ต่อการติดสินใจบ้างไม่มากก็น้อย