บลจ.ทหารไทย มองดอกเบี้ยขาลงเตรียมปรับแผนออกกองทุน ระบุภาวะดอกเบี้ยต่ำอาจทำให้นักลงทุนหมดความสนใจกับกองตราสารหนี้ เตรียมออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์-หุ้น ล่อใจนักลงทุนแทน พร้อมแจงกองบอนด์โสมบูม เหตุผลตอบแทนยังน่าสนใจ ส่วนแน้วโน้มในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย เปิดเผยว่า การออกกองทุนของบริษัทต่อจากนี้ไปคงจะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง และการที่นักลงทุนเริ่มเข้าใจการลงทุน และรับความเสี่ยงได้มากขึ้นแล้ว โดยกองทุนที่บริษัทคาดว่า จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่กองทุนที่บริษัทจะนำออกขายในช่วงแรกคงจะเป็นกองอสังหาริมทรัพย์
ส่วนการที่บริษัทได้เปิดขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ เนื่องจากเห็นว่าความต้องการของนักลงทุนในกองทุนความเสี่ยงต่ำยังมีอีกมาก อีกทั้งกองทุนนี้ยังลงทุนในพันธบัตรประเทศเกาหลีซึ่งมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง โดยมีผลตอบแทนดีหลังจากทำการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินไปแล้ว ซึ่งจากแนวโน้มการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยทำให้การลงทุนในกองทุนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการสร้างผลตอบแทน
"กองพันธบัตรเกาหลีเหมาะกับช่วงนี้ เพราะให้ยิลด์ที่สูง และเรตติ้งดี ซึ่งนักลงทุนที่ค่อนข้าง conservative และชอบกองแบบนี้ยังมีอีกมาก แต่หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยมันปรับลดต่ำลงมากๆ แล้วมันคงไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไร และที่เป็นประเทศเกาหลีก็เพราะเมื่อเราทำสวอปค่าเงินแล้วผลตอบแทนมันยังสูง โดยก่อนหน้านี้เราก็ทำกับสหรัฐเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ส่วนกองทุนที่จะออกหลังจากนี้คงจะเป็นกองอสังหา เพราะคนไทยบางส่วนน่าจะรับความเสี่ยงได้ดีขึ้นแล้ว"นางโชติกากล่าว
นางโชติกา กล่าวอีกว่า การเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทในปีนี้ น่าจะเริ่มต้นได้ประมาณเดือนหน้า ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ (Luxury Real Estate Investment Fund : LUXF) ซึ่งเป็นกองทุนที่วางแผนไว้ว่าจะออกตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว แต่ยังติดปัญหาในหลายด้าน รวมถึงรอการผ่อนผันมาตรการ 30% สำหรับกองทุนอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมาด้วย
สำหรับกองทุนี้จะมีนโยบายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนลักษณะซื้อกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ (Freehold) ในโครงการซิกส์เซ้นส์ไฮด์อะเวย์ เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ขนาดกองทุนประมาณ 1,965 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่กองทุนได้รับจะเป็นรูปแบบค่าเช่า โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ค่าเช่าอัตราคงที่ โดยมีเงื่อนไขให้คณะกรรมการลงทุนสามารถปรับค่าเช่าได้ทุก 3 ปี และค่าเช่าแปรผันตามความสามารถของการบริหารงานในแต่ละปี และกองทุนมีนโยบายจ่ายปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และจะจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิประจำปี หรืออาจมีการจ่ายปันผลจากกำไรสะสม ซึ่งในช่วง 3 ปีแรกของการลงทุนกองทุนจะได้รับการการันตีผลตอบแทนโดยในปีแรกในอัตรา 6% ปีที่สอง 6.5% และปีที่สาม 7%
สำหรับการที่เลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่างโรงแรม เนื่องจากเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนได้มากว่า การลงทุนใน เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และถือว่าเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันที่ดี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คนไทยถนัด และหากจะลงในสินทรัพย์ประเภทอื่นแล้วเมื่อเทียบด้านการแข่งขันกับประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคเดียวกันคงจะทำได้ยาก
"การลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากประเทศเรามีศักยภาพในการแข่งขันเรื่องนี้ ส่วนด้านอื่นอย่างเช่นการผลิต หากเปรียบเทียบกับจีนแล้ว แรงงานเขาถูกกว่า เราคงสู้ไม่ได้ แต่ที่เราขายได้น่าจะการให้บริการ และรอยยิ้มคนไทยเป็นเรื่องที่เขารู้จักกันดี ซึ่งการท่องเที่ยวน่าจะเป็นตัวสร้างรายได้ที่ดีได้"นางโชติกากล่าว
ส่วนการออกกองทุนหุ้นคงจะต้องรอดูปัญหาซับไพรม์ก่อน แต่ก็ยังมีความสนใจอยู่เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกขณะนี้เป็นช่วงที่ปรับตัวลดลง และน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยบริษัทเองยังได้เข้าร่วมเสนอตัวเป็นผู้จัดการกองทุน อีทีเอฟ พลังงานอยู่ด้วย
นางโชติกา กล่าวอีกว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยน่าจะมีการปรับลงได้ หากมองในเรื่องของส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรตามการที่แบงก์ชาติยังคงอัตราดอกเบี้ยเอาคงจะมีความกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้ออยู่
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย เปิดเผยว่า การออกกองทุนของบริษัทต่อจากนี้ไปคงจะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง และการที่นักลงทุนเริ่มเข้าใจการลงทุน และรับความเสี่ยงได้มากขึ้นแล้ว โดยกองทุนที่บริษัทคาดว่า จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่กองทุนที่บริษัทจะนำออกขายในช่วงแรกคงจะเป็นกองอสังหาริมทรัพย์
ส่วนการที่บริษัทได้เปิดขายกองทุนพันธบัตรเกาหลีออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ เนื่องจากเห็นว่าความต้องการของนักลงทุนในกองทุนความเสี่ยงต่ำยังมีอีกมาก อีกทั้งกองทุนนี้ยังลงทุนในพันธบัตรประเทศเกาหลีซึ่งมีความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง โดยมีผลตอบแทนดีหลังจากทำการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินไปแล้ว ซึ่งจากแนวโน้มการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยทำให้การลงทุนในกองทุนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการสร้างผลตอบแทน
"กองพันธบัตรเกาหลีเหมาะกับช่วงนี้ เพราะให้ยิลด์ที่สูง และเรตติ้งดี ซึ่งนักลงทุนที่ค่อนข้าง conservative และชอบกองแบบนี้ยังมีอีกมาก แต่หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยมันปรับลดต่ำลงมากๆ แล้วมันคงไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไร และที่เป็นประเทศเกาหลีก็เพราะเมื่อเราทำสวอปค่าเงินแล้วผลตอบแทนมันยังสูง โดยก่อนหน้านี้เราก็ทำกับสหรัฐเช่นกัน แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ส่วนกองทุนที่จะออกหลังจากนี้คงจะเป็นกองอสังหา เพราะคนไทยบางส่วนน่าจะรับความเสี่ยงได้ดีขึ้นแล้ว"นางโชติกากล่าว
นางโชติกา กล่าวอีกว่า การเปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทในปีนี้ น่าจะเริ่มต้นได้ประมาณเดือนหน้า ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ (Luxury Real Estate Investment Fund : LUXF) ซึ่งเป็นกองทุนที่วางแผนไว้ว่าจะออกตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว แต่ยังติดปัญหาในหลายด้าน รวมถึงรอการผ่อนผันมาตรการ 30% สำหรับกองทุนอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมาด้วย
สำหรับกองทุนี้จะมีนโยบายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนลักษณะซื้อกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ (Freehold) ในโครงการซิกส์เซ้นส์ไฮด์อะเวย์ เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ขนาดกองทุนประมาณ 1,965 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่กองทุนได้รับจะเป็นรูปแบบค่าเช่า โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ค่าเช่าอัตราคงที่ โดยมีเงื่อนไขให้คณะกรรมการลงทุนสามารถปรับค่าเช่าได้ทุก 3 ปี และค่าเช่าแปรผันตามความสามารถของการบริหารงานในแต่ละปี และกองทุนมีนโยบายจ่ายปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และจะจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิประจำปี หรืออาจมีการจ่ายปันผลจากกำไรสะสม ซึ่งในช่วง 3 ปีแรกของการลงทุนกองทุนจะได้รับการการันตีผลตอบแทนโดยในปีแรกในอัตรา 6% ปีที่สอง 6.5% และปีที่สาม 7%
สำหรับการที่เลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่างโรงแรม เนื่องจากเชื่อว่าจะสร้างผลตอบแทนได้มากว่า การลงทุนใน เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และถือว่าเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันที่ดี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คนไทยถนัด และหากจะลงในสินทรัพย์ประเภทอื่นแล้วเมื่อเทียบด้านการแข่งขันกับประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคเดียวกันคงจะทำได้ยาก
"การลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากประเทศเรามีศักยภาพในการแข่งขันเรื่องนี้ ส่วนด้านอื่นอย่างเช่นการผลิต หากเปรียบเทียบกับจีนแล้ว แรงงานเขาถูกกว่า เราคงสู้ไม่ได้ แต่ที่เราขายได้น่าจะการให้บริการ และรอยยิ้มคนไทยเป็นเรื่องที่เขารู้จักกันดี ซึ่งการท่องเที่ยวน่าจะเป็นตัวสร้างรายได้ที่ดีได้"นางโชติกากล่าว
ส่วนการออกกองทุนหุ้นคงจะต้องรอดูปัญหาซับไพรม์ก่อน แต่ก็ยังมีความสนใจอยู่เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกขณะนี้เป็นช่วงที่ปรับตัวลดลง และน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยบริษัทเองยังได้เข้าร่วมเสนอตัวเป็นผู้จัดการกองทุน อีทีเอฟ พลังงานอยู่ด้วย
นางโชติกา กล่าวอีกว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยน่าจะมีการปรับลงได้ หากมองในเรื่องของส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรตามการที่แบงก์ชาติยังคงอัตราดอกเบี้ยเอาคงจะมีความกังวลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้ออยู่