นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดมากที่สุดในรอบ 9 ปี หลังความเสี่ยงในตลาดเงินโลกยังคงมีอยู่สูง เนื่องจากวิกฤตตลาดสินเชื่อในสหรัฐฯยังไม่คลี่คลาย โดย ผลสำรวจความเห็นผู้จัดการกองทุนทั่วโลก จากเมอร์ริลลินช์พบว่า 42% ของผู้จัดการกองทุนเพิ่มน้ำหนักการถือเงินสด ขณะที่ผู้จัดการกองทุน 23% ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นในเดือนนี้
นับว่าตลาดหุ้นไทย เป็นอีกหนึ่งตลาดลงทุนหนึ่งที่มีความผันผวนแตกต่างจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่างมาก เพราะเวลาที่มีปัจจัยบวกจากนอกประเทศเข้ามาตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน อาทิ จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็จะมีการปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก หรือกล่าวได้ว่าเป็นไปตามทิศทางเดียวกัน ส่วนตลาดหุ้นไทย จะขึ้นก็ปรับตัวขึ้นแค่เล็กน้อยเหมือนกับแค่ขานรับข่าวไม่ได้ดีดตัวสูงตามเหล่าพี่น้อง ผองเพื่อนสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะเวลาปรับตัวลดลงจากปัจจัยภายนอกประเทศ ตลาดหุ้นแห่งอื่นดัชนีจะรูดลงตามความรุนแรงหรือความวิตกจากปัจจัยดังกล่าวอย่างน่าใจหาย แต่สำหรับพี่ไทย ถ้าเจอปัจจัยลบจากภายนอกประเทศก็จะปรับตัวลดลงเช่นกัน...แต่จะลดลงไม่มากเหมือนกับประเทศอื่นๆ พูดง่ายๆถ้าดัชนีเขาดีดตัวขึ้น...บ้านเราก็ดีดตัวด้วย แต่ถ้าปรับตัวลดลง เช่นลดลง 10 จุด บ้านเราก็จะลดลงแค่ 3 – 4 จุดเท่านั้น ...แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าน่าชื่นชมได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม จากกรณีปัญหาสินเชื่อด้วยคุณภาพของาสหรัฐอเมริกาที่รุนแรงจัด จนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอย่างแรงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2008 ทำให้ใครก็วิตกว่าปัญหาดังกล่าวจะรุนแรงจนไม่สามารถแก้ไขได้ และล่าสุดเมื่อเร็วนี้เฟดได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก 0.75% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมทั้งเกิดความผันผวนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นประเทศไทย ซึ่งมาจากความวิตกกังวลของนักลงทุนนั่นเอง
ดังนั้นจึงมีคำถามว่า “แล้วอย่างนี้..จะทำอย่างไร?” ซึ่งน่าจะเป้นคำถามที่ค้างคาใจของนักลงทุนหลายท่านในช่วงนี้ เพราะเกจิอาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ต่างแตกเสียงแตกความคิด บางรายบอกว่าช่วงนี้หุ้นราคาถูกน่าเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้เพื่อรอขายทำกำไร ขณะที่อีกเสียงมองว่า ช่วงนี้ขายทิ้งทำกำไร และถือเงินสดไว้ปลอดภัยกว่า เพราะนอกจากปัญหาซับไพรม์ และอัตราดอกเบี้ยแล้วรวมถึงเงินเฟ้อแล้วที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป นั่นคือ ราคาน้ำมันนั่น
รายงานข่าวจาก เมอร์ริลลินช์แอนด์โค ระบุว่า นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดมากที่สุดในรอบ 9 ปี หลังความเสี่ยงในตลาดเงินโลกยังคงมีอยู่สูง เนื่องจากวิกฤตตลาดสินเชื่อในสหรัฐฯยังไม่คลี่คลาย
*โดย ผลสำรวจความเห็นผู้จัดการกองทุนทั่วโลก จากเมอร์ริลลินช์พบว่า 42% ของผู้จัดการกองทุนเพิ่มน้ำหนักการถือเงินสด ขณะที่ผู้จัดการกองทุน 23% ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นในเดือนนี้
ขณะที่ในปีนี้ ดัชนีเอ็มเอสซีไอเวิล์ดลดลงมาแล้ว 15% จากจุดสูงสุดในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เนื่องจากหวั่นเกรงว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ขณะที่การบันทึกผลขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตซับไพรม์ของสถาบันการเงินทั่วโลกสูงถึง 195 พันล้านดอลลาร์
คาเรน โอลนี่ย์ หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดทุนเมอร์ริลลินช์ในยุโรป กล่าวว่าภาวะสดใสของตลาดหุ้นได้จบลงแล้ว หลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมาโดยตลอด ก่อนจะลดน้ำหนักการลงทุนต่อเนื่องเป็น
นี่ จึงเป็นสาเหตุให้ทีมงาน “ผู้จัดการกองทุนรวม”นำประเด็นดังกล่าวมาหาคำตอบให้กับผู้ลงทุนทุกท่น โดยจะขอหยิบยกประเด็น “หากถือเงินสดไว้ เพื่อรอให้ปัจจัยต่างๆดีขึ้น แล้วเราจะนำเงินสดเหล่านี้ไปลงทุนไว้ที่ไหน หรือจะถือเก็บไว้กับมือโดยตลอด” โดยถ้านักลงทุนต้องเก็บเงินไว้กับตัวเอง โอกาสการทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนจะหดหายไปหรือไม่ แล้วแบบนี้...จะหลบไปพักร้อนผ่อนคลายจากปัจจัยลบต่างๆ รวมทั้งปัจจัยทางการเมืองในประเทศให้สบายใจได้อย่างไร?
ดังนั้น หากท่านผู้อ่านรายใดสนใจจะไปผักผ่อนรับลมร้อนต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการไปเยือนสถานที่ตากอากาศชายทะเล หรืออุทยานแห่งชาติ ช่วงนี้ดูน่าจะเป็นการหลบร้อนที่ดีอีกช่วงหนึ่ง ก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย ที่เป็นช่วงหยุดยาวได้เช่นกัน
แต่....เงินล่ะ? จะปล่อยให้อยู่เฉยไปได้เลยหรือ?ลองมาฟังความคิดเห็นของบรรดาผู้จัดการกองทุน กันว่า ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีวิธีหรือกลยุทธ์ใดที่ช่วยไขข้อข้องใจของนักลงทุน ในช่วงตลาดหุ้นผันผวนเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะกับท่านนักลงทุนที่เชื่อว่าภาวะเช่นนี้จะเป็นอยู่ยาวนานถึง 1- 2 เดือน จนอยากจะถือเงินไว้ก่อน และเตรียมปลีกตัวไปพักร้อนกับธรรมชาติ จะไปได้อย่างอุ่นใจหรือไม่?
คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) กล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือเงินสดแทนนั้น เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยหมดความอดทนต่อการลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตามเมื่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์เกิดความผันผวนขึ้นลงเช่นนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นถูกลง ดั้งนั้นนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในระยะยาวควรที่จะซื้อเก็บไว้ เพราะในอนาคตจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้
“ถ้านักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจพอ การเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก็ยังถือได้ว่าเป็นการหลักหนีความผันผวนจากตลาดหุ้นได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนรวมมันนี่มาร์เก็ต เนื่องจากสองกองทุนมีความเสี่ยงต่ำมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น”
ขณะที่ คุณกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัดกล่าวว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้มีทั้งข่าวในเชิงบวกและลบอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้ดัชนีเกิดความผันผวน ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น แต่ถ้ามองในทางกลับกัน โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นตกเช่นนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่จะทยอยเข้าไปซื้อหุ้นราคาถูกเก็บไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคต อย่างไรก็ตามการช้อนซื้อหุ้นราคาถูกในช่วงนี้ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่ เนื่องจากในแต่ละเซกเตอร์จะมีความเสี่ยงที่ต่างกัน ดังนั้นควรพิจารณาคัดเลือกให้ดี ๆ อย่างรอบครอบ
“ถ้านักลงทุนยังกลัวความผันผวนในตลาดหุ้นอยู่ อาจจะเข้าไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนมันนี่มาร์เก็ต ก็ได้เพราะทั้งสองกองทุนมีอัตราความเสี่ยงที่น้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น” ” คุณกำพลบอก
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ “ผู้จัดการกองทุนรวม”นำเสนอเป็นแค่แนวทางส่วนหนึ่ง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผ่อนคลายภาวะตรึงเครียด ทั้งจากปัจจัยลบภายในและปัจจัยลบภายนอกประเทศเท่านั้น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่วิจารณญานของผู้ลงทุนเอง เพราะการลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง จะมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงนั้น ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลด้วยเช่น ส่วนฉบับนี้ทีมงานขอจบลงเพียงแค่นี้ก่อน เพราะตอนนี้เสียงเกลียวคลื่นกระซิบเรียกร้อง เย้ายวนจิตใจจนไม่อยู่สุข ว่าแล้วก็ขอวางปากกา และฮัมเพลง ....”ฉัน..คิดไปเป็น..ชาวเกาะ! “สักวัน แล้วพบกันฉบับวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม กับ “สินค้าโภคภัณฑ์ อีกเทรนด์แห่งการลงทุน”ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม....สวัสดี!
นับว่าตลาดหุ้นไทย เป็นอีกหนึ่งตลาดลงทุนหนึ่งที่มีความผันผวนแตกต่างจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอย่างมาก เพราะเวลาที่มีปัจจัยบวกจากนอกประเทศเข้ามาตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน อาทิ จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็จะมีการปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก หรือกล่าวได้ว่าเป็นไปตามทิศทางเดียวกัน ส่วนตลาดหุ้นไทย จะขึ้นก็ปรับตัวขึ้นแค่เล็กน้อยเหมือนกับแค่ขานรับข่าวไม่ได้ดีดตัวสูงตามเหล่าพี่น้อง ผองเพื่อนสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะเวลาปรับตัวลดลงจากปัจจัยภายนอกประเทศ ตลาดหุ้นแห่งอื่นดัชนีจะรูดลงตามความรุนแรงหรือความวิตกจากปัจจัยดังกล่าวอย่างน่าใจหาย แต่สำหรับพี่ไทย ถ้าเจอปัจจัยลบจากภายนอกประเทศก็จะปรับตัวลดลงเช่นกัน...แต่จะลดลงไม่มากเหมือนกับประเทศอื่นๆ พูดง่ายๆถ้าดัชนีเขาดีดตัวขึ้น...บ้านเราก็ดีดตัวด้วย แต่ถ้าปรับตัวลดลง เช่นลดลง 10 จุด บ้านเราก็จะลดลงแค่ 3 – 4 จุดเท่านั้น ...แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าน่าชื่นชมได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม จากกรณีปัญหาสินเชื่อด้วยคุณภาพของาสหรัฐอเมริกาที่รุนแรงจัด จนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอย่างแรงตั้งแต่ช่วงต้นปี 2008 ทำให้ใครก็วิตกว่าปัญหาดังกล่าวจะรุนแรงจนไม่สามารถแก้ไขได้ และล่าสุดเมื่อเร็วนี้เฟดได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก 0.75% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมทั้งเกิดความผันผวนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นประเทศไทย ซึ่งมาจากความวิตกกังวลของนักลงทุนนั่นเอง
ดังนั้นจึงมีคำถามว่า “แล้วอย่างนี้..จะทำอย่างไร?” ซึ่งน่าจะเป้นคำถามที่ค้างคาใจของนักลงทุนหลายท่านในช่วงนี้ เพราะเกจิอาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ต่างแตกเสียงแตกความคิด บางรายบอกว่าช่วงนี้หุ้นราคาถูกน่าเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้เพื่อรอขายทำกำไร ขณะที่อีกเสียงมองว่า ช่วงนี้ขายทิ้งทำกำไร และถือเงินสดไว้ปลอดภัยกว่า เพราะนอกจากปัญหาซับไพรม์ และอัตราดอกเบี้ยแล้วรวมถึงเงินเฟ้อแล้วที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป นั่นคือ ราคาน้ำมันนั่น
รายงานข่าวจาก เมอร์ริลลินช์แอนด์โค ระบุว่า นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดมากที่สุดในรอบ 9 ปี หลังความเสี่ยงในตลาดเงินโลกยังคงมีอยู่สูง เนื่องจากวิกฤตตลาดสินเชื่อในสหรัฐฯยังไม่คลี่คลาย
*โดย ผลสำรวจความเห็นผู้จัดการกองทุนทั่วโลก จากเมอร์ริลลินช์พบว่า 42% ของผู้จัดการกองทุนเพิ่มน้ำหนักการถือเงินสด ขณะที่ผู้จัดการกองทุน 23% ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นในเดือนนี้
ขณะที่ในปีนี้ ดัชนีเอ็มเอสซีไอเวิล์ดลดลงมาแล้ว 15% จากจุดสูงสุดในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เนื่องจากหวั่นเกรงว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ขณะที่การบันทึกผลขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตซับไพรม์ของสถาบันการเงินทั่วโลกสูงถึง 195 พันล้านดอลลาร์
คาเรน โอลนี่ย์ หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดทุนเมอร์ริลลินช์ในยุโรป กล่าวว่าภาวะสดใสของตลาดหุ้นได้จบลงแล้ว หลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมาโดยตลอด ก่อนจะลดน้ำหนักการลงทุนต่อเนื่องเป็น
นี่ จึงเป็นสาเหตุให้ทีมงาน “ผู้จัดการกองทุนรวม”นำประเด็นดังกล่าวมาหาคำตอบให้กับผู้ลงทุนทุกท่น โดยจะขอหยิบยกประเด็น “หากถือเงินสดไว้ เพื่อรอให้ปัจจัยต่างๆดีขึ้น แล้วเราจะนำเงินสดเหล่านี้ไปลงทุนไว้ที่ไหน หรือจะถือเก็บไว้กับมือโดยตลอด” โดยถ้านักลงทุนต้องเก็บเงินไว้กับตัวเอง โอกาสการทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนจะหดหายไปหรือไม่ แล้วแบบนี้...จะหลบไปพักร้อนผ่อนคลายจากปัจจัยลบต่างๆ รวมทั้งปัจจัยทางการเมืองในประเทศให้สบายใจได้อย่างไร?
ดังนั้น หากท่านผู้อ่านรายใดสนใจจะไปผักผ่อนรับลมร้อนต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นการไปเยือนสถานที่ตากอากาศชายทะเล หรืออุทยานแห่งชาติ ช่วงนี้ดูน่าจะเป็นการหลบร้อนที่ดีอีกช่วงหนึ่ง ก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย ที่เป็นช่วงหยุดยาวได้เช่นกัน
แต่....เงินล่ะ? จะปล่อยให้อยู่เฉยไปได้เลยหรือ?ลองมาฟังความคิดเห็นของบรรดาผู้จัดการกองทุน กันว่า ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะมีวิธีหรือกลยุทธ์ใดที่ช่วยไขข้อข้องใจของนักลงทุน ในช่วงตลาดหุ้นผันผวนเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะกับท่านนักลงทุนที่เชื่อว่าภาวะเช่นนี้จะเป็นอยู่ยาวนานถึง 1- 2 เดือน จนอยากจะถือเงินไว้ก่อน และเตรียมปลีกตัวไปพักร้อนกับธรรมชาติ จะไปได้อย่างอุ่นใจหรือไม่?
คุณประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) กล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือเงินสดแทนนั้น เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยหมดความอดทนต่อการลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตามเมื่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์เกิดความผันผวนขึ้นลงเช่นนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นถูกลง ดั้งนั้นนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในระยะยาวควรที่จะซื้อเก็บไว้ เพราะในอนาคตจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้
“ถ้านักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจพอ การเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก็ยังถือได้ว่าเป็นการหลักหนีความผันผวนจากตลาดหุ้นได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนรวมมันนี่มาร์เก็ต เนื่องจากสองกองทุนมีความเสี่ยงต่ำมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น”
ขณะที่ คุณกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัดกล่าวว่า ตลาดหุ้นช่วงนี้มีทั้งข่าวในเชิงบวกและลบอยู่ตลอดเวลาส่งผลให้ดัชนีเกิดความผันผวน ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจต่อการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น แต่ถ้ามองในทางกลับกัน โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นตกเช่นนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ดีที่จะทยอยเข้าไปซื้อหุ้นราคาถูกเก็บไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคต อย่างไรก็ตามการช้อนซื้อหุ้นราคาถูกในช่วงนี้ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่ เนื่องจากในแต่ละเซกเตอร์จะมีความเสี่ยงที่ต่างกัน ดังนั้นควรพิจารณาคัดเลือกให้ดี ๆ อย่างรอบครอบ
“ถ้านักลงทุนยังกลัวความผันผวนในตลาดหุ้นอยู่ อาจจะเข้าไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนมันนี่มาร์เก็ต ก็ได้เพราะทั้งสองกองทุนมีอัตราความเสี่ยงที่น้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น” ” คุณกำพลบอก
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ “ผู้จัดการกองทุนรวม”นำเสนอเป็นแค่แนวทางส่วนหนึ่ง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผ่อนคลายภาวะตรึงเครียด ทั้งจากปัจจัยลบภายในและปัจจัยลบภายนอกประเทศเท่านั้น แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่วิจารณญานของผู้ลงทุนเอง เพราะการลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง จะมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงนั้น ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลด้วยเช่น ส่วนฉบับนี้ทีมงานขอจบลงเพียงแค่นี้ก่อน เพราะตอนนี้เสียงเกลียวคลื่นกระซิบเรียกร้อง เย้ายวนจิตใจจนไม่อยู่สุข ว่าแล้วก็ขอวางปากกา และฮัมเพลง ....”ฉัน..คิดไปเป็น..ชาวเกาะ! “สักวัน แล้วพบกันฉบับวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม กับ “สินค้าโภคภัณฑ์ อีกเทรนด์แห่งการลงทุน”ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม....สวัสดี!