บลจ.นครหลวงไทย พอใจผลการปิดจองกองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ ระดมทุนได้กว่า 100 ล้าน ผู้บริหารระบุเป็น ETF กองแรกของบริษัท เชื่อหากมีผลการดำเนินงานแสดงออกมาจะดึงดูดความสนใจนักลงทุนให้เข้ามาซื้อเพิ่ม ย้ำไม่คิดใช้โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ช่วยกระตุ้น ชี้เพราะเป็นการลงทุนในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก
นายนที ดำรงค์กิจการ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังบริษัทได้เปิดเสนอขายออกกองทุนต่างประเทศ (FIF) จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท โดยได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 10 มีนาคม 2551 นั้น ปรากฏว่าสามารถระดมทุนได้ประมาณ 100 ล้านบาท
สำหรับยอดเงินระดมทุนครั้งนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากเป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนใน Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) กองแรกของบริษัท แต่เมื่อกองทุนดังกล่าวแสดงผลการดำเนินงานออกมา เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในอนาคตมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน
“เราจะเน้นในเรื่องผลประกอบการของกองทุนเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นอื่นๆ ออกมากระตุ้นลูกค้า ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานออกมาจะช่วยสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนได้” นายนที กล่าว
ส่วนสาเหตุกองทุนดังกล่าวลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) เนื่องจากเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก โดยมีการค้นพบโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ประเภทใหม่ๆ และปริมาณในการใช้ยารักษาโรคในแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหันมาให้ความสนใจดูแลรักษาสุขภาพตนเองมากขึ้น และทานยาเพื่อบรรเทาอาการ ก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างรุนแรง ดังนั้น ธุรกิจเฮลธ์แคร์จึงมีแนวโน้มเจริญเติบโตดี
ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าไปลงทุนใน Equity ETF ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฮลธ์แคร์สหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการวิจัยทางการแพทย์ โดยจะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฮลธ์แคร์ 5 กลุ่ม คือ 1.ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์(Health Care Products) 2.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเภสัชกรรม (Pharmaceuticals) 3.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) 4.บริการทางการแพทย์ (Health Care Services) และ 5.อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการักษาสุขภาพที่ดี ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักการลงทุน และจังหวะเข้าลงทุนในขณะนั้นเป็นสำคัญ
โดยกองทุน SCI GHC มีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยจะเน้นการกระจายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศประเภท Equity ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลาดต่างประเทศซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง (Underlying) ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) ทั้งนี้ กองทุนอาจมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ย (Hedging)
ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานหรือกำไรสะสมในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น
นายนที ดำรงค์กิจการ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังบริษัทได้เปิดเสนอขายออกกองทุนต่างประเทศ (FIF) จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท โดยได้เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 10 มีนาคม 2551 นั้น ปรากฏว่าสามารถระดมทุนได้ประมาณ 100 ล้านบาท
สำหรับยอดเงินระดมทุนครั้งนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากเป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนใน Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) กองแรกของบริษัท แต่เมื่อกองทุนดังกล่าวแสดงผลการดำเนินงานออกมา เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในอนาคตมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน
“เราจะเน้นในเรื่องผลประกอบการของกองทุนเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นอื่นๆ ออกมากระตุ้นลูกค้า ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกองทุนดังกล่าวมีผลการดำเนินงานออกมาจะช่วยสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนได้” นายนที กล่าว
ส่วนสาเหตุกองทุนดังกล่าวลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) เนื่องจากเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก โดยมีการค้นพบโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ประเภทใหม่ๆ และปริมาณในการใช้ยารักษาโรคในแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหันมาให้ความสนใจดูแลรักษาสุขภาพตนเองมากขึ้น และทานยาเพื่อบรรเทาอาการ ก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างรุนแรง ดังนั้น ธุรกิจเฮลธ์แคร์จึงมีแนวโน้มเจริญเติบโตดี
ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าไปลงทุนใน Equity ETF ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฮลธ์แคร์สหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการวิจัยทางการแพทย์ โดยจะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฮลธ์แคร์ 5 กลุ่ม คือ 1.ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์(Health Care Products) 2.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเภสัชกรรม (Pharmaceuticals) 3.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) 4.บริการทางการแพทย์ (Health Care Services) และ 5.อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการักษาสุขภาพที่ดี ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักการลงทุน และจังหวะเข้าลงทุนในขณะนั้นเป็นสำคัญ
โดยกองทุน SCI GHC มีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยจะเน้นการกระจายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศประเภท Equity ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลาดต่างประเทศซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง (Underlying) ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) ทั้งนี้ กองทุนอาจมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ย (Hedging)
ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานหรือกำไรสะสมในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น