บลจ.นครหลวงไทยเกาะกระแสรักษาสุขภาพ คลอดกองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) เน้นลงทุนใน Equity ETF ธุรกิจเฮลธ์แคร์ทั่วโลก มูลค่า 1,500 ล้านบาท เปิดไอพีโอ 28 ก.พ. – 10 มี.ค.นี้ เชื่อมั่น CL ไม่กระทบกองทุน เพราะว่าเป็นการลงทุนในต่างประเทศ
นายนที ดำรงค์กิจการ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดเสนอขายออกกองทุนต่างประเทศ (FIF) จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 10 มีนาคม 2551 มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนได้ลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ไม่มีในประเทศไทย
ส่วนสาเหตุที่ไปลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) เนื่องจากมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก โดยมีการค้นพบโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ประเภทใหม่ๆ และปริมาณในการใช้ยารักษาโรคในแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหันมาให้ความสนใจดูแลรักษาสุขภาพตนเองมากขึ้น และทานยาเพื่อบรรเทาอาการ ก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างรุนแรง ดังนั้น ธุรกิจเฮลธ์แคร์จึงมีแนวโน้มเตริญเติบโตดี
นอกจากนี้ ยังมองว่าการหุ้นในกลุ่มอุตสากรรมน้ำมัน และพลังงานมีการแกว่งตัวค่อนข้างมาก จึงทำให้บริษัทหันมาให้ความสนใจลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเเฮลลธ์แคร์แทน เนื่องจากมองว่าเป็นอุตสาหกรรมและธุรกิจที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตได้ดี โดยที่ผ่านมามีอัตราการเจริญเติบโตสูงในระดับตัวเลขสองหลักมาโดยตลอดด้วย ส่วนเรื่องการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (CL : Compulsory Licensing) ไม่มีผลกระทบกับกองทุน เนื่องจากเป็นกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว
ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าไปลงทุนใน Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) ในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการวิจัยทางการแพทย์ โดยจะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฮลธ์แคร์ 5 กลุ่ม คือ 1.ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์(Health Care Products) 2.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเภสัชกรรม (Pharmaceuticals) 3.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) 4.บริการทางการแพทย์ (Health Care Services) และ 5.อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการักษาสุขภาพที่ดี ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักการลงทุน และจังหวะเข้าลงทุนในขณะนั้นเป็นสำคัญ
สำหรับกองทุน SCI GHC จะเน้นลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยจะเน้นการกระจายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศประเภท Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลาดต่างประเทศซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง
(Underlying) ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) ทั้งนี้ กองทุนอาจมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ย (Hedging)
ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานหรือกำไรสะสมในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น
นายนที ดำรงค์กิจการ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดเสนอขายออกกองทุนต่างประเทศ (FIF) จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 10 มีนาคม 2551 มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 2,000 บาท เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนได้ลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ไม่มีในประเทศไทย
ส่วนสาเหตุที่ไปลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) เนื่องจากมองว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และยังเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตได้อีกมาก โดยมีการค้นพบโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ประเภทใหม่ๆ และปริมาณในการใช้ยารักษาโรคในแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหันมาให้ความสนใจดูแลรักษาสุขภาพตนเองมากขึ้น และทานยาเพื่อบรรเทาอาการ ก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างรุนแรง ดังนั้น ธุรกิจเฮลธ์แคร์จึงมีแนวโน้มเตริญเติบโตดี
นอกจากนี้ ยังมองว่าการหุ้นในกลุ่มอุตสากรรมน้ำมัน และพลังงานมีการแกว่งตัวค่อนข้างมาก จึงทำให้บริษัทหันมาให้ความสนใจลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเเฮลลธ์แคร์แทน เนื่องจากมองว่าเป็นอุตสาหกรรมและธุรกิจที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตได้ดี โดยที่ผ่านมามีอัตราการเจริญเติบโตสูงในระดับตัวเลขสองหลักมาโดยตลอดด้วย ส่วนเรื่องการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (CL : Compulsory Licensing) ไม่มีผลกระทบกับกองทุน เนื่องจากเป็นกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว
ทั้งนี้ กองทุนจะเข้าไปลงทุนใน Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) ในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และการวิจัยทางการแพทย์ โดยจะเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเฮลธ์แคร์ 5 กลุ่ม คือ 1.ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์(Health Care Products) 2.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเภสัชกรรม (Pharmaceuticals) 3.ผลิตภัณฑ์และการวิจัยทางเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) 4.บริการทางการแพทย์ (Health Care Services) และ 5.อื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการักษาสุขภาพที่ดี ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักการลงทุน และจังหวะเข้าลงทุนในขณะนั้นเป็นสำคัญ
สำหรับกองทุน SCI GHC จะเน้นลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนหรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยจะเน้นการกระจายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศประเภท Equity Exchange Traded Fund (Equity ETF) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตลาดต่างประเทศซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนตามความเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง
(Underlying) ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ สุขภาพ และการรักษาพยาบาล (Health Care Industry) ทั้งนี้ กองทุนอาจมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนหรืออัตราดอกเบี้ย (Hedging)
ขณะเดียวกันกองทุนดังกล่าวมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานหรือกำไรสะสมในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลนั้น
