บลจ. บีที เร่งศึกษาทำเล หวังจัดตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์อย่างน้อย 2 กองทุนในปีนี้ ทั้งแบบอาคารสำนักงาน และโรงแรมในโซนเมืองท่องเที่ยว มูลค่าขั้นต่ำโครงการละ 1,000 ล้านบาท โดยไม่สนใจมาตรการกันสำรอง 30%ภาครัฐ เหตุเน้นเจาะฐานลูกค้าคนไทย
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร๊อพเพอร์ตี้ ฟันด์) อีก 2 กองทุน ซึ่งประมาณการว่ากองทุนดังกล่าวจะมีมูลค่าโครงการขั้นต่ำที่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยกองทุนแรกที่จะทำการออกนั้น เป็นกองทุนที่ลงทุนในอาคารสำนักงานที่อยู่ในย่านใจกลางเมืองหลวง ขณะที่กองที่ 2 บริษัทจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจโรงแรมในย่านเมืองที่ท่องเที่ยว อาทิ พัทยา หัวหิน สมุย ฯลฯ
สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนทั้ง 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา และคาดว่าจะสามารถยื่นเรื่องขอจัดตั้งกองทุนกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ในเร็วๆนี้ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอให้ภาครัฐบาลยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เนื่องจากกลุ่มเป้มหมายของบริษัทคือนักลงทุนชาวไทย ดังนั้นมาตราการดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อต่อการกำหนดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอย่างแน่นอน
กรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที กล่าวถึงแผนธุรกิจอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมแผนที่จะทำการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทจะเน้นให้ความรู้ ความเข้าใจแก่นักลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากพ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฉบับใหม่สามารถให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้อย่างหลากหลายมากขึ้น แล้วแต่ความเหมาะสมของผู้ลงทุนเอง โดยบริษัทจะทำการเพิ่มระบบไอทีและระบบนายทะเบียนเข้ามารองรับในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้ด้วย
นอกจากนี้ในอนาคต บริษัทจะมีการเปิดทำการซื้อการขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต CRM เพื่อเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าและเป็นการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่นักลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับนักลงทุนอีกทางหนึ่ง เนื่องจากธุรกิจทุกวันนี้ในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมจะพบว่าถ้าใครเข้าใกล้นักลงทุนมากที่สุดจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบที่สุด
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องพ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝากที่จะมีการประกาศใช้นั้น ต่อไปในอนาคตจะมีบทบาทมากขึ้นนอกเหนือจากการฝากเงินเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้บริษัทได้เตรียมกองทุนไว้รองรับนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว โดยกองทุนนี้จะอยู่เป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น ที่มีระยะเวลาการลงทุน 3 เดือน และ 6 เดือน ซึ่งจะได้ถูกจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่มกองทุนหลับสบาย โดยปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันจำนวน 7 กองทุน ประกอบไปด้วยกองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 3M1 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 6M3 , กองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 12M11 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 3M 2 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 3M3 , และกองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 6M4
ก่อนหน้านี้ บลจ.บีที มีแผนที่จะเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีรูปแบบแตกต่างจากบลจ. อื่น โดยเฉพาะกองทุนรวมต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนต่างมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะที่กองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 1 , กองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 และกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 ที่ได้เปิดขายในช่วงปีที่ผ่านมา ก็สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งสร้างความพอใจแก่ผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้แล้วบริษัทได้เปิดศูนย์บริการฮอตไลน์เซ็นเตอร์เพื่อเป็นการบริการหลังการขายให้กับลูกค้าให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยบริการดังกล่าวได้ทำการเปิดให้บริการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนรายได้ใดมีข้อข้องใจสามารถสอบถามได้ที่โทร. 02-686-9599
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (พร๊อพเพอร์ตี้ ฟันด์) อีก 2 กองทุน ซึ่งประมาณการว่ากองทุนดังกล่าวจะมีมูลค่าโครงการขั้นต่ำที่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยกองทุนแรกที่จะทำการออกนั้น เป็นกองทุนที่ลงทุนในอาคารสำนักงานที่อยู่ในย่านใจกลางเมืองหลวง ขณะที่กองที่ 2 บริษัทจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจโรงแรมในย่านเมืองที่ท่องเที่ยว อาทิ พัทยา หัวหิน สมุย ฯลฯ
สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนทั้ง 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา และคาดว่าจะสามารถยื่นเรื่องขอจัดตั้งกองทุนกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ในเร็วๆนี้ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรอให้ภาครัฐบาลยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เนื่องจากกลุ่มเป้มหมายของบริษัทคือนักลงทุนชาวไทย ดังนั้นมาตราการดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อต่อการกำหนดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอย่างแน่นอน
กรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที กล่าวถึงแผนธุรกิจอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมแผนที่จะทำการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทจะเน้นให้ความรู้ ความเข้าใจแก่นักลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากพ.ร.บ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฉบับใหม่สามารถให้นักลงทุนเลือกลงทุนได้อย่างหลากหลายมากขึ้น แล้วแต่ความเหมาะสมของผู้ลงทุนเอง โดยบริษัทจะทำการเพิ่มระบบไอทีและระบบนายทะเบียนเข้ามารองรับในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้ด้วย
นอกจากนี้ในอนาคต บริษัทจะมีการเปิดทำการซื้อการขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต CRM เพื่อเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าและเป็นการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่นักลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับนักลงทุนอีกทางหนึ่ง เนื่องจากธุรกิจทุกวันนี้ในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมจะพบว่าถ้าใครเข้าใกล้นักลงทุนมากที่สุดจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบที่สุด
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องพ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝากที่จะมีการประกาศใช้นั้น ต่อไปในอนาคตจะมีบทบาทมากขึ้นนอกเหนือจากการฝากเงินเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้บริษัทได้เตรียมกองทุนไว้รองรับนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว โดยกองทุนนี้จะอยู่เป็นกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้น ที่มีระยะเวลาการลงทุน 3 เดือน และ 6 เดือน ซึ่งจะได้ถูกจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในกลุ่มกองทุนหลับสบาย โดยปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันจำนวน 7 กองทุน ประกอบไปด้วยกองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 3M1 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 6M3 , กองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 12M11 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 3M 2 , กองทุนเปิดคุ้มครองเงินต้น 3M3 , และกองทุนเปิดบีที คุ้มครองเงินต้น 6M4
ก่อนหน้านี้ บลจ.บีที มีแผนที่จะเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีรูปแบบแตกต่างจากบลจ. อื่น โดยเฉพาะกองทุนรวมต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนต่างมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะที่กองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 1 , กองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 2 และกองทุนเปิดบีที FIF โกลด์ ลิงค์ ฟันด์ 3 ที่ได้เปิดขายในช่วงปีที่ผ่านมา ก็สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งสร้างความพอใจแก่ผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้แล้วบริษัทได้เปิดศูนย์บริการฮอตไลน์เซ็นเตอร์เพื่อเป็นการบริการหลังการขายให้กับลูกค้าให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยบริการดังกล่าวได้ทำการเปิดให้บริการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนรายได้ใดมีข้อข้องใจสามารถสอบถามได้ที่โทร. 02-686-9599