ลุ้นแบงก์ชาติ ไฟเขียว ไพรเวตฟันด์บุกต่างประเทศภายในสิ้นเดือนนี้ ล่าสุดอนุมัติโควต้าวงเงินลงทุนต่างแดนเพิ่มให้อีก 2,000 ล้านเหรียญ คาดจัดสรรให้กองทุนส่วนบุคคล 200-300 ล้านดอลล์ พร้อมประเมินกลางปีดัชนีหุ้นเกิน 900 จุด
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ (KTAM) กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะอนุมัติให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถเข้าไปลงทุนในต่างประเทศได้ในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ แต่เรื่องดังกล่าวอาจจะต้องรอให้มีมาตราการหรือนโยบายอื่นๆของภาครัฐออกมาเพิ่มเติมก่อน
ขณะเดียวกัน ล่าสุดคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติโควต้าวงเงินลงทุนต่างประเทศเพิ่มเติมให้อีกจำนวน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งวงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินในส่วนของโควต้าที่ได้รับอนุมัติไปแล้วก่อนหน้านี้ จำนวน 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั่นเอง โดยคาดว่าวงเงินดังกล่าวจะถูกจัดสรรให้กองทุนส่วนบุคคลประมาณ 200 –300 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ นายธีรพันธุ์เชื่อว่า หลังจากที่พ.ร.บ.คุ้มครองมีมีผลบังคับใช้ จะทำให้กองทุนส่วนบุคคลได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากนักลงทุน เพราะผู้ลงทุนหลานรายมีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศมาก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งประเมินว่าบริษัทจัดการลงทุนจะคิดค้น หรือหาผลิตภัรพ์ใหม่ออกมานำเสนอแก่ลูกค้าที่มีความสนใจลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อทดแทนการเข้าลงทุนในตราสารคุณภาพจากสถาบันการเงินในทวีปยุโรป (ECP) ซึ่งผลตอบแทนปรับตัวลดลงจากภาครัฐบาลในประเทศแถบยุโรปอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และมีการคาดว่าหมายจะทรงตัวต่อไปจนถึงครึ่งปีหน้า
ก่อนหน้านี้ มีการคาดหมายว่าหลักเกณฑ์การอนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) สามารถออกไปลงทุนต่างประเทศได้ จะเห็นความชัดเจนภายใน 2 เดือน หลังจากได้คณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารงานแล้ว ซึ่งประกาศดังกล่าวน่าจะออกมาพร้อมกับการยกเลิกมาตรการกันเงินสำรอง 30% ที่ปิดกั้นการลงทุนจากต่างประเทศอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่ารัฐบาลใหม่คงต้องการให้เงินไหลเข้าและไหลออกอย่างเสรีมากกว่า
ทั้งนี้ หากกองทุนส่วนบุคคลสามารถออกไปลงทุนต่างประเทศได้แล้ว น่าจะช่วยชดเชยธุรกิจกองทุนรวมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งกองทุนเอฟไอเอฟที่มีในปัจจุบันอาจจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการจัดตั้งกองทุนแต่ละกอง แต่หากออกไปลงทุนในรูปของกองทุนส่วนบุคคลนั้น สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องขอจัดตั้งกองทุน หรือส่งหนังสือชี้ชวน
ส่วนความคืบหน้าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุนส่วนบุคคลที่ออกไปลงทุนต่างประเทศ นายธีรพันธุ์ กล่าวเคยว่า ได้เข้าหารือกับกรมสรรพากรเพื่ออธิบายให้ทราบว่าการออกไปลงทุนต่างประเทศของกองทุนส่วนบุคคลนั้น ลูกค้าจะมีช่องทางการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง เช่น การลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ การลงทุนในอนุพันธ์ ซึ่งในเบื้องต้นทางกรมสรรพากรเข้าใจในหลักการแล้ว แต่ต้องกลับไปพิจารณาดูก่อนว่าประมวลกฏหมายรัษฎากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีวิธีปฏิบัติอย่างไร หรือมีช่องทางที่สามารถทำได้หรือไม่
โดยสรรพากรขอกลับไปตีความประมวลกฏหมายอีกครั้งก่อน ว่า สามารถใช้ช่องทางใดในการยกเว้นภาษีได้บ้างโดยไม่ต้องแก้ไขกฏหมาย เพราะระดับเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจที่จะทำได้ ซึ่งหากตีความออกมาแล้วเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน และจำเป็นต้องแก้ไขกฏหมาย ก็อาจจะต้องเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาเพื่อแก้ไขกฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จากการหารือในเบื้องต้นยังสามารถดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย ซึ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องโดยไม่มีการเลี่ยงกฎหมายแต่อย่างใด
สำหรับการลงทุนต่างประเทศของกองทุนส่วนบุคคลนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดสรรวงเงินให้ในเบื้องต้นรายละ 50 ล้านบาท สำหรับนิติบุคคล และรายละ 5 ล้านบาท สำหรับบุคคลธรรมดา โดยในส่วนของบุคคลธรรมดานั้น ธปท.จะจัดสรรวงเงินให้สามารถออกไปลงทุนได้ครั้งละ 5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากต้องการให้นักลงทุนพิจารณาความเสี่ยงก่อน ซึ่งหากนักลงทุนลงทุนไปแล้วได้ประโยชน์กลับมา ก็ค่อยขอวงเงินเพิ่มอีก
นอกจากนี้ นายธีรพันธุ์ กล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ว่า ในช่วงกลางปีนี้มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 900 จุด เพราะจากการที่ได้สอบถามนักลงทุนต่างชาติหลายรายพบว่ามีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื่อมั่นผลตอบแทนในการลงทุนหุ้นไทย ที่ยังดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือจีน อีกทั้งมีความเสี่ยงที่ต่ำ ขณะเดียวกันอัตราการเติบโตของจีดีพีน่าจะเป็นไปตามที่ธปท.คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวได้ถึง 5%