กองทุนต่างชาติเทขายทองคำเพื่อทำกำไรระยะสั้น ฉุดภาวะการลงทุนทองทั่วโลกผันผวน ประเมินปีราคาจะทะลุ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จากอานิสงส์ในหลายปัจจัยเกื้อหนุน ทั้งซับไพรม์ ไพรเวตฟันด์ รวมทั้งการซื้อขายล่วงหน้าที่รุกลามมาจีน ส่วนในไทยอดขายทองรูปพรรณปีนี้ เติบโตได้ยาก เหตุกำลังซื้อประชาชนลดลง ต้องรอดูฝีมือรัฐบาลใหม่
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ราคาทองคำในช่วงนี้มีการปรับตัวอย่างผันผวน ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนต่างประเทศหลายกองทุนเข้าเก็งกำไรในทองคำ จากปัญหาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง และมีการขายทำกำไรออกมาแต่เชื่อว่าจะเป็นการขายทำกำไรในระยะสั้นเท่านั้น ขณะเดียวกันเนื่องช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งในต่างประเทศโดยเฉพาะด้านเอเชียจะมีวันหยุดมากขึ้น ทำให้นักลงทุนหลายคนแห่ขายทองเพื่อถือเงินสดในช่วงนี้แทน
สำหรับการประเมินราคาทองคำในปีนี้จะปรับตัวขึ้นสูงสุดเท่าใดนั้น เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากขึ้น เพราะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกได้มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกันมีการลงทุนในทองคำผ่านตลาดล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการลงทุนในลักษณะดังกล่าวยิ่งผลกระทบต่อการประเมินราคาทองคำเช่นกัน
ขณะเดียวกัน นายพิชญา ประเมินว่าภาวะการซื้อขายทองรูปพรรณในประเทศปีนี้จะปรับตัวลดลงประมาณ 20-30% จากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนต้องการเก็บเงินสดไว้ใช้มากขึ้น อีกทั้งราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงเกือบ 50% และโดยภาพรวมแล้วต้องรอคอยดูทิศทางการบริหารของรัฐบาลใหม่ ว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
“ช่วงนี้บางคนยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ดังนั้นการเข้ามาซื้อทองคำก็จะลำบาก ราคาทอง 1 บาท ประมาณ 13,000 –14,000 บาท จากเดิม 2-3 ปีที่ผ่านอยู่ทีประมาณ 10,000 บาท เพิ่มขึ้นมาถึง 50% นอกจากนี้คนยังนิยมถือเงินสดไว้สำหรับสถานการณ์ในช่วงขณะนี้”
นายธนสิน กลีบลำเจียก หัวหน้าผู้ค้าทองคำ บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในทองคำ ว่าปัจจุบันนี้ มีผู้ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้นในทุกตลาดลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) กองทุนรวมต่างๆ และนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากทองคำมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ส่งต่อการปรับตัวของราคาทองคำเช่นกัน
โดยภาวะวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อราคาทองคำถึง 2 ปัจจัย คือ 1. จากสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัว ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่ม 2.ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะทำให้ราคาทองสูงขึ้นเช่นกัน
ขณะเดียวกันในยามที่สินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ทองแดง เหล็ก น้ำมัน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน รวมทั้งความไม่แน่นอนในด้านความมั่นคงระหว่างชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติอาหรับ การการก่อการร้าย สิ่งเหล่านี้นับเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาทองคำขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
“กระแสการลงทุนในโลก ณ ปัจจุบันที่หันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาทองมีการปรับตัวเพิ่ม โดยขณะนี้ มีหลายกองทุนทั้งจากสหรัฐอเมริกา และกองทุนจากทวีปยุโรปเข้ามาลงทุนในทองคำเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จีน ได้เปิดการซื้อขายล่วงหน้า(ฟิเจอร์ส)โดยใช้ทองคำเป็นสิ้นค้าในการซื้อขายแล้วอีกด้วย”
นายธนสิน กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเดิมๆที่คอยเกื้อหนุนราคาทองคำอยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้นโยบายการเงินมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะสะท้อนถึงราคาทองด้วย อีกทั้งเม็ดเงินกองทุนที่เข้ามาลงทุนในทอง ก็มีการเก็งกำไรราคากันในช่วงที่ตลาดโลกมีความผันผวนเช่นกัน
ทั้งนี้ ตลาดลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดค้าทองคำรายใหญ่ของโลก โดยบริษัทค้าทองคำรายใหญ่กว่า 20 สำนัก ได้คาดการณ์ว่าราคาทองคำในปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1,00 9 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และต่ำสุดประมาณ 743 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีก จากต้นทุนการผลิตรวมถึงข้อตกลงในการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่ม
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ราคาทองคำยังมีความผันผวน โดยคาดว่าจะปรับสูงขึ้นไปถึงราว 845-945 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นตามไม่มากนัก แต่ยังถือว่าราคาสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงกว่าร้อยละ 40 อย่างไรก็ตาม สำหรับราคาทองคำใน 1- 2 วันนี้ได้ปรับตัวลดลงเพราะเป็นเทศกาลตรุษจีน หลังจากนั้นคาดว่าจะปรับสูงขึ้นอีกรอบ
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำกล่าวว่า ราคาทองคำในช่วงนี้มีการปรับตัวอย่างผันผวน ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนต่างประเทศหลายกองทุนเข้าเก็งกำไรในทองคำ จากปัญหาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง และมีการขายทำกำไรออกมาแต่เชื่อว่าจะเป็นการขายทำกำไรในระยะสั้นเท่านั้น ขณะเดียวกันเนื่องช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งในต่างประเทศโดยเฉพาะด้านเอเชียจะมีวันหยุดมากขึ้น ทำให้นักลงทุนหลายคนแห่ขายทองเพื่อถือเงินสดในช่วงนี้แทน
สำหรับการประเมินราคาทองคำในปีนี้จะปรับตัวขึ้นสูงสุดเท่าใดนั้น เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากขึ้น เพราะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าปัญหาซับไพรม์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกได้มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกันมีการลงทุนในทองคำผ่านตลาดล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการลงทุนในลักษณะดังกล่าวยิ่งผลกระทบต่อการประเมินราคาทองคำเช่นกัน
ขณะเดียวกัน นายพิชญา ประเมินว่าภาวะการซื้อขายทองรูปพรรณในประเทศปีนี้จะปรับตัวลดลงประมาณ 20-30% จากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนต้องการเก็บเงินสดไว้ใช้มากขึ้น อีกทั้งราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงเกือบ 50% และโดยภาพรวมแล้วต้องรอคอยดูทิศทางการบริหารของรัฐบาลใหม่ ว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
“ช่วงนี้บางคนยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ดังนั้นการเข้ามาซื้อทองคำก็จะลำบาก ราคาทอง 1 บาท ประมาณ 13,000 –14,000 บาท จากเดิม 2-3 ปีที่ผ่านอยู่ทีประมาณ 10,000 บาท เพิ่มขึ้นมาถึง 50% นอกจากนี้คนยังนิยมถือเงินสดไว้สำหรับสถานการณ์ในช่วงขณะนี้”
นายธนสิน กลีบลำเจียก หัวหน้าผู้ค้าทองคำ บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในทองคำ ว่าปัจจุบันนี้ มีผู้ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้นในทุกตลาดลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) กองทุนรวมต่างๆ และนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากทองคำมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ส่งต่อการปรับตัวของราคาทองคำเช่นกัน
โดยภาวะวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อราคาทองคำถึง 2 ปัจจัย คือ 1. จากสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัว ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่ม 2.ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะทำให้ราคาทองสูงขึ้นเช่นกัน
ขณะเดียวกันในยามที่สินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ทองแดง เหล็ก น้ำมัน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน รวมทั้งความไม่แน่นอนในด้านความมั่นคงระหว่างชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติอาหรับ การการก่อการร้าย สิ่งเหล่านี้นับเป็นอีกปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาทองคำขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
“กระแสการลงทุนในโลก ณ ปัจจุบันที่หันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาทองมีการปรับตัวเพิ่ม โดยขณะนี้ มีหลายกองทุนทั้งจากสหรัฐอเมริกา และกองทุนจากทวีปยุโรปเข้ามาลงทุนในทองคำเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จีน ได้เปิดการซื้อขายล่วงหน้า(ฟิเจอร์ส)โดยใช้ทองคำเป็นสิ้นค้าในการซื้อขายแล้วอีกด้วย”
นายธนสิน กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเดิมๆที่คอยเกื้อหนุนราคาทองคำอยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้นโยบายการเงินมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะสะท้อนถึงราคาทองด้วย อีกทั้งเม็ดเงินกองทุนที่เข้ามาลงทุนในทอง ก็มีการเก็งกำไรราคากันในช่วงที่ตลาดโลกมีความผันผวนเช่นกัน
ทั้งนี้ ตลาดลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดค้าทองคำรายใหญ่ของโลก โดยบริษัทค้าทองคำรายใหญ่กว่า 20 สำนัก ได้คาดการณ์ว่าราคาทองคำในปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1,00 9 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และต่ำสุดประมาณ 743 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีก จากต้นทุนการผลิตรวมถึงข้อตกลงในการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่ม
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ราคาทองคำยังมีความผันผวน โดยคาดว่าจะปรับสูงขึ้นไปถึงราว 845-945 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นตามไม่มากนัก แต่ยังถือว่าราคาสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงกว่าร้อยละ 40 อย่างไรก็ตาม สำหรับราคาทองคำใน 1- 2 วันนี้ได้ปรับตัวลดลงเพราะเป็นเทศกาลตรุษจีน หลังจากนั้นคาดว่าจะปรับสูงขึ้นอีกรอบ
