xs
xsm
sm
md
lg

"กสิกรไทย-AYF"ปันผลกองทุนหุ้น จ่ายอั่งเปาลูกค้าฉลองเทศกาลตรุษจีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"กสิกรไทย-เอวายเอฟ" แจกอั่งเปาผู้ถือหน่วยรับตรุษจีน โดยกสิกรไทย จ่ายปันผล "กองทุนเปิด เค หุ้นปันผล" รอบที่ 12 หน่วยละ 0.21บาท ผู้ถือหน่วยเฮรับพร้อมกัน 28 กุมภาพันธ์นี้ ด้านเอวายเอฟ ตัดกำไร "กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล" ให้ผู้ถือหน่วย

รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า คณะกรรมการพิจาณาการลงทุนของบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2551 ให้ดำเนินการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน กองทุนเปิด เค หุ้นปันผล ( K-VALUE) ในอัตราหน่วยละ 0.21 บาท โดยกองทุนเปิดจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ.วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 ถึง 31 มกราคม 2551

สำหรับ กองทุนเปิด เค หุ้นปันผล มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุน ซึ่งปัจจัยพื้นฐานดี โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น และสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้สูง

ทั้งนี้ กองทุนได้กำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่ต่ำกว่า 90% ของการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานประจำแต่ละงวดบัญชี ซึ่งการเพิ่มขึ้นสินทรัพย์สุทธิไม่รวมถึงรายการกำไรหรือขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น(Unrealized Gain) โดยอัตราเงินปันผลที่จะจ่ายเมื่อคำนวณเป็นจำนวนเงินปันผลแล้วจะต้องไม่เกินการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานประจำงวดบัญชีที่จ่ายเงินปันผลนั้น และบริษัทจัดการอาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมส่วนที่ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้น(Unrealized Gain) ของกองทุนได้ บริษัทจัดการหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทยอาจจะสงวนสิทธิการไม่จ่ายเงินปันผลในกรณีที่เงินปันผลต่อหน่วยที่คำนวณได้ต่ำกว่า 0.25 บาท

โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน K-VALUE ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 11 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าต่อหน่วยรวม 5.360 บาท ซึ่งพบว่าได้มีการจ่ายปันผลมากที่สุด เมื่อครั้งที่ 9 ณ. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 ในอัตรา 1.230 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินปันผลน้อยที่สุดในครั้งที่11 ในอัตรา 0.210 บาทต่อหน่วย สำหรับการจ่ายเงินปันผลรอบอื่นๆมีดังนี้ รอบที่1 ในอัตรา 0.590 บาท รอบที่ 2 อยู่ที่ 0.550 บาท รอบที่3 จำนวน 0.400 บาท รอบที่4 เท่ากับ 0.260 บาท รอบที่5 คือ 0.270 บาท รอบที่6 อยู่ที่ 0.890 บาท รอบที่7 เท่ากับ 0.250 บาท รอบที่ 8 จำนวน 0.110 บาท รอบที่9 จำนวน 1.230 บาท รอบที่10 คือ 0.600บาท และรอบล่าสุดอยู่ที่ 0.210 บาท

ขณะเดียวกัน สัดส่วนการลงทุนของกองทุนเปิดเค หุ้นปันผล ณ วันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา พบว่า กองทุนได้มีการแบ่งสัดส่วนลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานมากที่สุดถึง 38.7663% รองลงมาคือกลุ่มธนาคาร 24.6443% อันดับ 3 ได้แก่ การลงทุนในหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 10.6568% อันดับ4.การลงทุนในหุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติก 5.07% นอกจากนี้ กองทุนได้ลงทุนในหุ้นกลุ่มบันเทิงและสันทนาการลงทุน 1.8472 % รวมทั้งยังมีการลงทุนในหุ้นด้านขนส่ง 1.7726% และการลงทุนในหุ้นทุนอื่นๆอยู่ที่ 0.8951 % อีกทั้งกองทุนได้ลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงินโดยสถาบันการเงิน และอื่นๆอยู่ที่ 5.3704 %

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนเปิด เค หุ้นปันผล ได้ให้ข้อมูลผลดำเนินการ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 ว่า ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -9.15% ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน SET Index ซึ่งอยู่ที่ -9.33% ขณะที่ผลดำเนินการย้อนหลัง 6 เดือนของกองทุนอยู่ที่ 4.62% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน SET Index ที่ -3.21% ส่วนผลดำเนินงานย้อนหลัง1 ปีอยู่ที่ 39.02% สูงกว่า เกณฑ์มาตรฐาน SET Index ที่มี 20.92% และย้อนหลังไปอีก 3 ปี กองทุน K-VALUE มีมูลค่าถึง 53.19% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน SET Index ที่มีเพียง 12.76% อย่างไรก็ตามหากมองต้นปี 2551จนถึงปัจจุบันกองทุนดังกล่าาว ให้ผลดำเนินงานที่ -5.93% ติดลบมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน SET Index ซึ่งอยู่ที่ -5.51%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอยุธยา จำกัด รายงานว่า บริษัทเตรียมจ่ายปันผลกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล (AYFSCAP) ให้ผู้ถือหุ้นในรอบระยะบัญชีตั้งแต่ 4 กรกฏาคม 2550-31 ธันวาคม 2550 ในอัตราประมาณหน่วยละ 2.20 บาท ซึ่งบริษัทจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนและหยุดทำการขายเเละรับซื้อคืนหน่วยลงทุนชั่วคราวในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 และจะเปิดทำการปกติในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551

สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล มีนโยบายการลงทุนในหุ้นทุนอย่างน้อย 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนโดยอย่างน้อย 50%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนจะลงทุนในหุ้นทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลคือจะจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง โดยจ่ายไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงของงวดบัญชีที่จ่ายเงินปันผล

ทั้งนี้ AYFSCAP ลงทุนกับหุ้นกลุ่มพลังงานมากที่สุด ได้แก่ บริษัทปตท.13.88% รองลงมาคือ บริษัทปตท.สำรวจ และผลิตปิโตรเลียมอยู่ที่ 9.46% ส่วนบริษัทปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่นลงทุนที่ 3.64% นอกจากนี้ทางกองทุนดังกล่าวยังได้ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารอีกหลายธนาคารอาทิเช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ 8.65% ธนาคารกสิกรไทย 7.98% ธนาคารทิสโก้4.74% เเละธนาคารกรุงเทพ 4.47% ในการลงทุนหุ้นตัวอื่นของกองทุนดังกล่าวได้ลงทุนในกลุ่มสื่อสารและสาธารณูประโภค ได้แก่ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส 4.95% บริษัทไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า 4.07% และบริษัทปูนซิเมนต์ไทยลงทุนไป 4.01% ข้อมูลณ.วันที่ 28 ธันวาคม 2550

ขนะเดียวกันกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผลได้มีการจ่ายเงินปันผลมาเเล้วทั้งสิ้น 11 ครั้ง จำนวนเงินปันผลทั้งหมดรวม 19.0600 บาทโดยครั้งที่จ่ายเงินปันผลมากที่สุดคือ ครั้งที่ 7 อยู่ที่ 6.50 บาทต่อหน่วยส่วนครั้งที่ปันผลน้อยที่สุดคือครั้งที่11ที่0.50 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ บลจ.อยุธยา ยังได้จ่ายเงินปันผลของกองทุนเปิดอยุธยาตราสารปันผล (AYFSINC) โดยจะปันผลสำหรับรอบบัญชี 1 กรกฏาคม 2520-31 ธันวาคม 2550 ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งจะให้ผลตอบเเทนประมาณ 0.10 บาทต่อหน่วยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551

สำหรับนโยบายการลงทุนของ AYFSINC คือลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดหรือให้ความเห็นชอบให้ลงทุนได้และมีนโยบายการปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง โดยจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริงของงวดบัญชีที่จ่ายเงินปันผล

ทั้งนี้การลงทุนของกองทุนเปิดอยุธยาตราสารปันผลนั้นจะลงทุนซื้อพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 81.57% เเละเงินฝากหรือตราสารหนี้ที่สถาบันการเงินเป็นผู้ออก 8.79% อีกทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือภาคเอกชน 9.70% ส่วนทรัพย์สินอื่นอยู่ที่ 2.32% ข้อมูลณ.วันที่ ณ วันที่ 28 ธันวาคม. 2550

ส่วนการจ่ายเงินปันผลของกองทุนดังกล่าว มีการจ่ายเงินปันผลให้เเก่ผู้ถือหน่วยลงทุนมาแล้วถึง 16 ครั้งจำนวนเงินปันผลทั้งหมด 5.5850 บาทโดยครั้งที่จ่ายเงิยปันผลมากที่สุดคือครั้งที่ 14 จำนวนที่ปันผลคือ 0.9500 บาทต่อหน่วยลงทุน ซึ่งครั้งที่ปันผลน้อยที่สุดได้แก่ครั้งที่ 4 ปันผลเพียงเเค่ 0.0550 บาทต่อหน่วยลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น