บลจ.วรรณ ตั้งเป้า เอยูเอ็ม ปี 51 โต 10% จากปี 50 ที่ 6.28 หมื่นล้านบาท พร้อมเตรียมออกเพิ่ม 3 กองทุนใหม่ แถมขยายบัญชีลูกค้าอีก 5 % จากปีก่อนที่มี 2.3 หมื่นบัญชี ล่าสุดเล็งยื่นจัดตั้งกองทุน ETF อ้างอิงกลุ่มพลังงานในเร็วๆนี้ "สมจินต์ ศรไพศาล" มองตลาดหุ้นไทยยังผันผวน จากพิษซับไพรม์ แนะกระจายความเสี่ยงไปลุยตราสารหนี้-เอฟไอเอฟ
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2551 ซึ่งเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา ส่วน AUM ในปี 2550 อยู่ที่ 62,831 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2549 ที่ 57,469 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นกองทุนรวม (Mutual Fund) ประมาณ 36,596 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ประมาณ 20,367 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงการเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ประมาณ 4,902 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯเตรียมจะเสนอขายกองทุนใหม่จำนวน 3 กองทุน อาทิ กองทุนเปิดวรรณแคปปิตอล โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม ฟันด์ (1 New) กองทุนเปิดวรรณนิว แคปปิตอล โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม ดีวิเดนท์ ฟันด์ และกองทุนรวมพร็อพเพอร์ตี้เฟอร์เฟกต์ ฟันด์ โดยเริ่มเปิดเสนอขายครั้งแรกในช่วงวันที่ 4-14 ก.พ. 2551 ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือ FIF เพื่อเป็นอีกช่องทางในการกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียวอีกด้วย
กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (Property Perfect Fund : PFFUND)ว่า กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการประมาณ 520 ล้านบาท โดยจะลงทุนบ้านพักอาศัยบางส่วนในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ เอกมัย-รามอินทรา จำนวน 17 ยูนิต และโครงการเพอร์เฟค เพลส รามคำแหง-สุวรรณภูมิ จำนวน 47 ยูนิต ซึ่งผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์จะรับประกันรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการให้แก่กองทุนรวมขั้นต่ำปีละ 55 ล้านบาท และค้ำประกันการรับประกันรายได้โดยธนาคารนครหลวงไทย เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท คาดว่าจะเสนอขายครั้งแรกได้ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม กองทุน PFFUND มีแนวโน้มในการเพิ่มขนาดของกองทุนอีก เพราะว่าบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เตรียมจะขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก แต่ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสในอนาคต
นายสมจินต์ กล่าวว่า บริษัทยังเน้นทำการตลาดสำหรับกองทุนเดิมที่มีอยู่ผ่านโครงการ Automatic Millionaire Program ซึ่งปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 400 ราย โดยในปีนี้ตั้งเป้าจะขยายผู้เข้าร่วมโครงการอย่างน้อยให้ถึง 1,000 ราย โดยจะอาศัยการมุ่งเน้นให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นผ่านการทำกิจกรรมให้ความรู้ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า
สำหรับ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ หรือ TDEX นั้น บลจ.วรรณ มีแผนที่จะประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่องผ่าน รวมทั้งการจัดกิจกรรม TDEX สัญจร และรวมไปถึงการไปโรดโชว์ต่างประเทศ เนื่องจากเชื่อว่า TDEX ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 TDEX มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,413 ล้านบาท และปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,800 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปี 2551 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มบัญชีลูกค้าเพิ่มขึ้น 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 23,000 บัญชี โดย บลจ.วรรณจะพยายามขยายฐานลูกค้าและมุ่งเน้นการทำกิจกรรม รวมถึงให้ความรู้นักลงทุนได้เข้าใจการลงทุนอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้สาเหตุที่ TDEX มีสภาพคล่องสูง นายสมจินต์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวสะท้อนถึงอำนาจในการแข่งขัน โดยมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตลงทุนอยู่เสมอ และหุ้น 2 ตัวล่าสุดที่เข้ามาอยู่ใน SET 50 คือบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJORและบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ที่เข้ามาแทนบริษัทสหวิริยาสตีล อินดัสรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI และบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)หรือ PTTAR ที่เกิดจากการควบรวม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีกลไกในการคัดเลือกหุ้นที่ดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ทำให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันได้ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก และคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและความผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ยังมีอยู่ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมยื่นเสนอจัดตั้งกองทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีในหมวดธุรกิจพลังงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ กล่าวถึงกรณีดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่ขอออกความคิดเห็นเกี่ยวกับนักลงทุนต่างชาติว่าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจริงหรือไม่ ขณะที่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปกว่า 20 จุด นั้นเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าปัญหาซับไพรม์ในประเทศสหรัฐฯ จะยังคงส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของทั่วโลกนั่นเอง ทั้งนี้ ขอแนะนำให้นักลงทุน ลงทุนด้วยความสมดุล อาทิ ลงทุนตราสารหนี้ ตลาดทุน และหากนักลงทุนมีเงินจำนวนมากขอแนะนำให้กระจายความเสี่ยงไปลงทุนใน FIF บ้างอีกช่องทางหนึ่ง