xs
xsm
sm
md
lg

กบข.สนอินฟาสตรัคเจอร์ตปท. จับตาตลาดโลกชัดเจนก่อนลงทุนเต็ม25%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กบข.โชว์แผนปีหนู เน้นปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลก เผยไม่รีบร้อนเทเงินลุยต่างแดนเต็ม 25% เหตุต้องการรอทิศทางการลงทุนทั่วโลกชัดเจนกว่านี้ แย้มสนใจโครงการพื้นฐาน-พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์เมืองนอก หวังฟันกำไรระยะยาว ประเมินปลายปีนี้ ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่ม ด้านผลงานปีหมู ผลตอบแทนทะลุเป้า 9.22% “วิสิฐ”ยันไม่รู้เรื่องติดโผถูกดึงเป็นผู้บริหารแบงก์ทหารไทย

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของ กบข. ในปี 2551 ว่า กบข.ต้องมีการกระจายการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ เนื่องจากแนวโน้มตลาดหุ้น และตราสารหนี้ ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) ดังนั้น กบข.จะทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเพิ่มช่องทางในการลงทุน ได้แก่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ การลงทุนในนิติบุคคลเอกชนต่างประเทศ (Private Equity ) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย

“ในปีที่ผ่านมาผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวค่อนข้างสูงถึง 38.10% แต่ในปีนี้จากปัญหาซับไพรม์ ทำให้เราต้องมีการกระจายความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะสอดรับกับการลงทุนของ กบข.ในปีนี้ เพราะว่าเราจะมีความคล่องตัวมากขึ้น หลังจากที่มีการแก้ไข พ.ร.บ. กบข. ซึ่งให้สามารถขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมเป็นไม่เกิน 25% จากเดิมที่ลงทุนได้เพียง 15% ของเม็ดเงินทั้งหมด” นายวิสิฐ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้กบข.จะได้รับการจัดรับการอนุมัติขยายเพิ่มวงเงินลงทุนต่างประเทศเป็น 25% แต่กบข.ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบเพิ่มวงเงินลงทุนทั้งหมด เพราะต้องการรอดูสถานการณ์หลายๆ อย่างให้ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งล่าสุดภายในสัปดาห์นี้ กบข. ได้เริ่มเข้าลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมเป็นครั้งแรก

สนใจลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างแดน
ทั้งนี้ ในปี 2551 ช่องทางการลงทุนที่ กบข.ให้ความสนใจเพิ่มขึ้น ได้แก่การลงทุนทางเลือก และการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนทางเลือกนั้น กบข.สนใจที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างประเทศ เนื่องจากมองว่าระบบสาธารณูปโภคในต่างประเทศนั้น สามารถให้ผลตอบแทนได้ระดับที่ดี รวมทั้งมีความมั่นคง และมีเสถียรภาพ

ส่วนสาเหตุที่ กบข. ไม่สนใจเข้าลงทุนในโครงการพื้นฐานของประเทศ เนื่องจากโครางการต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ แม้รวมกันยังเป็นแค่ขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับในต่างประเทศ อีกทั้ง กบข.มีหน้าที่บริหารเงินกองทุนให้สมาชิก ดังนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนให้สมาชิกก่อนเป็นอันดับแรก

“ความเสี่ยงในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้น มีอยู่ 2 ข้อที่เราต้องให้ความสำคัญ นั่นคิอความเสี่ยงจากการก่อสร้าง ตัวอย่างอย่างเช่น หากการก่อสร้างยืดเยื้อไม่เป็นไปตามที่กำหนด จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่ความเสี่ยงในข้อนี้ถือว่ายังสามารถควบคุมได้ ด้วยการล็อกราคาก่อสร้างเป็น ส่วนข้อที่ 2 ได้แก่ ความเสี่ยงในเชิงพาณิชย์ อาทิเช่นการลงทุนในรถไฟฟ้า หากปริมาณผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่ประเมิน หรือคาดการณ์ไว้ ก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนที่ประเมินไว้ผิดพลาดไป และทำให้แคลชโฟลตำกว่าที่กำหนด” นายวิสิฐ กล่าว

สำหรับการลงทุนทางเลือกของ กบข.ที่เข้าลงทุนอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเข้าถือหุ้นใน บมจ.ไออาร์พีซี (IRCP) ซึ่งเป็นการเข้าถือหุ้นนอกเหนือจาก การลงทุนในหุ้นในประเทศทั่วไป ส่วนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่อาจนับว่า กบข.มีส่วนเข้าไปถือหุ้นนั่นคือ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) แต่เป็นการลงทุนโดยอาศัยเงินลงทุนในสัดส่วนการลงทุนหุ้นในประเทศ

ขณะที่การลงทุนในหกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น เลขาธิการกบข.ยอมรับว่ามีสนใจที่จะเข้าลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เนื่องจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาส่งผลให้ราคาอสังริมทรัพย์ในต่างแดน โดยเฉพาะในสหรัฐปรับตัวลดลงมาก แต่การลงทุนดังกล่าวยังต้องอาศัยศึกษาระยะเวลาสักระยะหนึ่ง หรือรอให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคลี่คลายลงมากกว่านี้
ส่วนเหตุที่กบข.ให้คสามสนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น เป็นเพราะผลตอบแทนที่ได้รับจะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนในประเทศ ที่อยู่ในระดับ 5-6% นั่นเอง

“การลงทุนอสังหาฯในประเทศผลตอบแทนอยู่ที่ 5-6% สำหรับรายย่อยอาจมองว่าอยู่ในระดับสูง แต่เรา กบข.เป็นผู้บริหารเงินลงทุนให้สมาชิก ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะมากกว่านี้”

สำหรับการลงทุนในตราสารทุนนั้น กบข.จะคงสัดส่วนการลงทุนหุ้นในประเทศไว้ที่ 12% แต่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหุ้นในต่างประเทศจากเดิมประมาณ 8.55% เป็น 13 – 14% โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในหุ้นเอเชีย อาทิ เกาหลี จีน ไต้หวัน อินเดีย ยกเว้นญี่ปุ่น จะใช้ดัชนีมาตรฐาน MSCI X JAPAN เป็นเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย กบข.มองว่าหุ้นในประเทศยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่ดีเช่นกัน โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงนั้นมาจากต่างชาติทำการขยายออกมา เพื่อถือเงินสด ดังนั้นจึงคาดว่าในอนาคตราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

คาดดอกเบี้ยปลายปีดีดตัวขึ้น
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ กบข. จึคงสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศไว้เท่าเดิมที่ 4.77% แต่ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 64.30% แต่จะปรับเกณฑ์ในเรื่องระยะเวลาการลงทุนให้อยู่ในความเหมาะสมเพื่อรับผลประโยชน์ในจากการลงทุนในอนาคต ตามที่คาดการณไว้ว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศเชื่อว่าจะปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อที่จะเริ่มลดลงในไตรมาสที่ 2 จากผลกระทบทางเศรษฐกิจเนื่องจากปัญหาซับไพร์มและราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ส่วนทิศทางเศรษฐกิจปีนี้ นายวิสิฐกล่าวว่า ผลกระทบของปัญหาซับไพรม์จะกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อราคาหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดหุ้น ส่วนอีกด้าน คือ ผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ประเมินไว้ที่ 4.5-6% ซึ่งจำเป็นที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามากระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบของการชะลอตัวด้านการส่งออก พร้อมกันนี้ยังแสดงความเชื่อมั่นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวได้ภายในปีนี้ ในทางกลับกัน ผลกระทบดังกล่าวยังได้ส่งผลในเชิงบวกต่อการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ เนื่องจากเชื่อว่าหลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นคาดว่าภายในปีนี้จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งเหลือประมาณ 1–1.25% ซึ่งก็จะส่งผลให้ดอกเบี้ยของไทยปรับลดลงราว 0.25-0.5% ภายในกลางปีนี้ และจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น

ปี50ผลตอบแทนโต9.22%
สำหรับผลการดำเนินงานของ กบข. ในปี 2550 ที่ผ่านมา นายวิสิฐ เปิดเผยว่าปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันเท่ากับ 375,551 ล้านบาท ผลประโยชน์สะสมย้อนหลัง (12 เดือน) คิดเป็นมูลค่า 29,311 ล้านบาท สำหรับกองสมาชิกได้ผลประโยชน์สะสมย้อนหลัง (12 เดือน) อยู่ที่ 9.22% ซึ่งผลตอบแทนที่ได้นั้นสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมาซึ่งคาดการณ์ไว้อยู่ที่ระดับ 5-6% อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2549 ที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 3.44% หรือเป็นจำนวนเงินเท่ากับ 8,853 ล้านบาท และหากพิจารณาอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังของ กบข. 10 ปีเฉลี่ยจะอยู่ที่ 8.24%

ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของ กบข.ในช่วงปี 2550 มีการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 64.30% ตราสารทุนในประเทศ 13.33% ตราสารต่างประเทศ 13.62% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3.96% และการลงทุนทางเลือก 4.79%

“ผลการดำเนินงานของ กบข. ในปี 2550 ที่ผ่านมาว่าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสูงกว่าตัวเทียบวัดอัตราดอกเบี้ย เงินฝาก 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่เฉลี่ย 2.78% และสูงกว่าเงินเฟ้อที่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.23% ”นายวิสิฐกล่าว

ยืนยันไม่รู้เรื่องติดต่อบริหารTMB
นอกจากนี้ นาย วิสิฐ กล่าวถึง กระแสข่าวที่ตนเป็นหนึ่งในบุคคลที่อาจจะเข้าไปดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ว่า ยังไม่ได้รับทราบข้อมูล หรือเรื่องดังกล่าว ดังที่มีข่าวเผยแพร่ออกมาเลย ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังต้องการกระจายหุ้น บมจ. ดอนเมืองโทลเวย์ และ เอสโซ่ในตลาดหลักทรัพย์ว่ามีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในส่วนของเอสโซ่ แต่ถ้ากบข.เข้าลงทุน จะเท่ากับว่า กบข.ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังานเพิ่มขึ้น ดังนั้นการเข้าลงทุนในเอสโซ่ จำเป็นต้องนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับ บมจ.ไทยออยล์ ที่กบข.เข้าลงทุนอยู่ด้วยเช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น