ฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้คาดการณ์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ว่าจะมีการขยายตัวประมาณ 4.5-5.5% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2550 เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวชัดเจน ผู้บริโภคและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2551 การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐและผลกระทบจากค่าบาทแข็งค่าขึ้น
อัตราดอกเบี้ย ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำและอาจมีการปรับลด R/P1 วันลงเพื่อกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากสหรัฐปรับลด Fed Fund Rate ลงรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1Q/51 จากราคาน้ำมันที่สูงค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และฐานในปี 2550 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ
อัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง จากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ตามแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยสหรัฐลดลง และไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ได้แก่ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ราคาน้ำมันที่ผันผวนและอยู่ในระดับสูง ผลกระทบจากปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับตลาดการเงิน และเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลก
ปัจจัยบวกที่มีผลกระทบต่อตลาดทุนได้แก่ หุ้นไทยยังมีราคาถูก เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐที่อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทิศทางของตลาดหลักทรัพย์ไตรมาส 1/2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวอยู่ในกรอบระหว่าง 680-840 จุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ คือ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและระยะเวลาในการชะลอตัว ความมั่นคงทางการเมืองภายในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนตราสารทุนของบลจ. กรุงไทย จะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น High Beta โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีสถานะการเงินและกระแสเงินสดที่มั่นคง นอกจากนี้ยังเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมามากกว่าตลาดโดยรวม
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ภาวะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในกองทุนประเภทหุ้นทุน โดยเน้นกลุ่มนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) นับว่าเป็นหนึ่งในกองทุนที่น่าสนใจ ลงทุนได้ทั้งลูกค้าสถาบันและบุคคลธรรมดาทั่วไป ผลการดำเนินงานนับจากวันที่ 9 มีนาคม 2550 ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2550 อยู่ที่ 40.09% ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 27.70% ในช่วงระหว่างปี 2550 ได้มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน1.50 บาทต่อหน่วย จึงเหมะสำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในหุ้นทุน แต่ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการบริหารการลงทุนด้วยตัวเอง
อัตราดอกเบี้ย ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำและอาจมีการปรับลด R/P1 วันลงเพื่อกระตุ้นการขยายตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากสหรัฐปรับลด Fed Fund Rate ลงรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1Q/51 จากราคาน้ำมันที่สูงค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และฐานในปี 2550 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ
อัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง จากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ตามแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยสหรัฐลดลง และไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2551 ได้แก่ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ราคาน้ำมันที่ผันผวนและอยู่ในระดับสูง ผลกระทบจากปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับตลาดการเงิน และเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลก
ปัจจัยบวกที่มีผลกระทบต่อตลาดทุนได้แก่ หุ้นไทยยังมีราคาถูก เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาล แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐที่อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทิศทางของตลาดหลักทรัพย์ไตรมาส 1/2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวอยู่ในกรอบระหว่าง 680-840 จุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ คือ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและระยะเวลาในการชะลอตัว ความมั่นคงทางการเมืองภายในประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนตราสารทุนของบลจ. กรุงไทย จะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น High Beta โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีสถานะการเงินและกระแสเงินสดที่มั่นคง นอกจากนี้ยังเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงมามากกว่าตลาดโดยรวม
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ภาวะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในกองทุนประเภทหุ้นทุน โดยเน้นกลุ่มนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) นับว่าเป็นหนึ่งในกองทุนที่น่าสนใจ ลงทุนได้ทั้งลูกค้าสถาบันและบุคคลธรรมดาทั่วไป ผลการดำเนินงานนับจากวันที่ 9 มีนาคม 2550 ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2550 อยู่ที่ 40.09% ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 27.70% ในช่วงระหว่างปี 2550 ได้มีการจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน1.50 บาทต่อหน่วย จึงเหมะสำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในหุ้นทุน แต่ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการบริหารการลงทุนด้วยตัวเอง