xs
xsm
sm
md
lg

ยี้ “ทีมเศรษฐกิจหมัก” เมิน “เลี้ยบ” คุมคลัง-เตือนประชานิยม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โบรกเกอร์ยี้ “สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี” คุมเศรษฐกิจ-คลัง วอนขุนคลังต้องมีความสามารถและเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนและตลาดหุ้น นักวิชาการเตือนรัฐบาลใหม่อย่าเพิ่มหนี้คนรากหญ้าซ้ำรอยเดิม ขณะที่ตัวแทนครู ปฏิเสธ “นายทุน- นักวิชาการจ๋า” ขอคนแวดวงการศึกษา รู้กฎหมาย นั่งเก้าอี้ รมว.ศธ. ชี้ชัดต้องการคนจาก "พปช."

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะการแต่งตั้งบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า บุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ กล้าตัดสินใจ และทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ แม้ว่าจะเป็นบุคคลที่ไม่มีประสบการณ์ จะต้องเป็นบุคคลที่สาธารณชนยอมรับ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ดังนั้นควรมีนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อก่อให้เกิดการฟื้นตัว และมาตรการต่างๆ ให้เกิดความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ โดยมีเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาพอสมควร ตั้งแต่ต้นปีที่ลดลงประมาณ 8% จากเหตุผลที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้นหุ้นที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาถูกยังมีอยู่ และโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลดลงต่ำกว่านี้เป็นไปได้ยาก รวมถึงปัจจัยทางการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะการเมืองคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ตำแหน่ง รมว.คลังนับเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องไปพบกับนักลงทุนต่างประเทศเพื่อดึงเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งนโยบายต่างๆ จะต้องส่งผ่าน รมว.คลัง และกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ที่จะทำหน้าที่ในการกลั่นกรองนโยบายต่างๆ ว่าเรื่องใดควรที่จะต้องดำเนินการทันที และนโยบายที่ต้องดำเนินการระยะกลางเพื่อดึงความมั่นใจจของนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุน

เรื่องที่เร่งด่วนที่จะต้องมีการดำเนินการคือการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ต่างๆ เช่น การถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อให้ทราบถึงนโยบายของภาครัฐจะเป็นมิตรกับนักลงทุนต่างประเทศมากน้อยแค่ไหนและกระตุ้นความมั่นใจนักลงทุนกลับมาก รวมถึง นโยบายการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์)

สำหรับประเทศที่นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองหัวหน้าพรรคประชาชน จะดำรงตำแหน่งรมว.คลังนั้น นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากในขณะนี้ตัวเลือกของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง รมว.คลังมีจำกัด นั้น ควรที่จะให้ความสำคัญของตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าวน้อยกว่าทีมเศรษฐกิจที่จะเข้ามา เพราะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจนั้นจะต้องทำกันเป็นทีมเพื่อที่จะทำให้นโยบายเป็นรูปธรรม ซึ่งไม่สามารถที่จะดำเนินการได้เพียงบุคคลคนเดียวได้

"จากที่ตัวเลือกผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งรมว.คลังมีจำกัดนั้น ควรที่จะให้ความสำคัญกับทีมเศรษฐกิจมากกว่าตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรมว.คลัง เพราะ การดำเนินการนโยบายจะต้องทำเป็นทีมเพื่อที่จะให้เกิดเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว ไม่สามารถทำได้เพียงบุคคลเดียว " นายก้องเกียรติ กล่าว

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า จากโผรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่คลอดออกมา โดยนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่ตลาดทุนคาดหวัง และไม่เชื่อมั่นในการเข้ามาบริหารงานด้านเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้จริง จึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันบรรยากาศการลงทุน

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ส่วนผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรวมคลังนั้น ควรที่จะมีนโยบายในการขันเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม และรากหญ้า ซึ่งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรมว.คลัง ต้องมีความรู้ ความสามารถ เป็นที่ยอมรับ รวมถึงต้องทำงานและเข้ากันได้กับทีมเศรษฐกิจ เพราะควรทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมเดินหน้าต่อไปได้

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง มีความสำคัญมาก ไม่น้อยไปกว่าผู้ที่จะเข้ามาตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมองว่าผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่งดังกล่าวหายากจากข้อจำกัดต่างๆ การทำงานก็ยากเช่นกัน และไม่ทราบว่ารัฐบาลใหม่นี้จะทำหน้าที่ได้นานเท่าไร รวมถึงการจะกลับเข้ามาอยู่ในแวดวงการเงินไม่ได้อีกนานหากพ้นจากตำแหน่ง

ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรมว.คลังจะต้องมีความรู้ความเข้าใจตลาดทุนและให้การสนับสนุน เพราะ ตลาดทุนเป็นแหล่งในการระดมทุนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลมีหลายพรรคการเมือง นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ทุกฝ่ายเห็นชอบ ส่วนใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนนั้นคงไม่ให้ความเห็น แต่ในอุตสาหกรรมธนาคารในปีนี้เชื่อว่ายอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอลใหม่นั้นไม่น่าจะมีเพิ่มแล้ว เพราะได้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารจัดการประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเริ่มมีการขยายตัวดีขึ้นได้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และในส่วนตัวเชื่อว่าในกลางปีนี้ทั้งระบบธนาคารจะมียอดเอ็นพีแอลน่าจะลดลงได้

ส่วนกรณีที่รัฐบาลนี้จะนำกระแสประชานิยมมาใช้หรือไม่นั้น ในเรื่องประชานิยมนั้นจะใช้กับธนาคารเฉพาะกิจมากกว่า ส่วนธนาคารพาณิชย์ไม่ได้รับผลกระทบจากประชานิยม

"กรณีของธนาคารกรุงไทยนั้น เป็นธนาคารของรัฐก็จริงแต่เป็นธนาคารของรัฐที่บริหารในเชิงพาณิชย์ ซึ่งต้องมีกรอบในการบริหารความเสี่ยง และเป็นธนาคารที่ต้องคำนึงถึงผู้ถือหุ้นที่เป็นทั้งผู้ถือหุ้นรายย่อย ผู้ถือหุ้นที่เป็นรัฐและผู้ถือหุ้นที่เป็นชาวต่างชาติ"นายอภิศักดิ์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB กล่าวว่า จากการที่ได้พบปะกับนักลงทุนต่างประเทศจำนวนมาก พบว่านักลงทุนจากต่างประเทศต้องการเห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลที่มาตามขบวนการที่ถูกต้อง ซึ่งขณะนี้ถือว่ามาถูกทางแล้ว ทำให้มีตัวแปรเชิงบวกส่งผลให้มีการลงทุนมากขึ้น ขณะที่มีรัฐบาลแล้วงบการใช้จ่ายภาครัฐก็จะมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

ส่วนกรณีที่รัฐบาลชุดใหม่จะเลือก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น มองว่า นพ.สุรพงษ์ถือเป็นคนเก่งในด้านการบริหาร และกล้าตัดสินใจ ดังนั้นหากเข้ามารดำรงตำแหน่งดังกล่าวและเลือกคนมาใช้ง่ายถูกต้องก็ไม่น่าจะมีปัญหา

"การทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ ต้องประสานงานได้ดี และทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน ระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม และพลังงงาน เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยขาดความเชื่อมั่น และหากกระทรวงเศรษฐกิจทั้ง 4 กระทรวงประสานกัน และทำงานในทิศทางเดียวกันก็จะสร้างความเชื่อมันให้เกิดขึ้น ทำให้เกิดการลงทุนตามมา" นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ให้ความสำคัญกับผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรมว.คลังมากกว่าผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่เข้ามาเป็นรมว.คลังจะต้องเป็นตัวของตัวเอง ยึดมั่นในหลักการ เพราะจำเป็นต้องดำเนินการคดีต่างๆ ที่ค้างไว้ อย่างโปร่งใส เป็นธรรม

เตือนอย่าเพิ่มหนี้รากหญ้า

นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ไม่ควรเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากโดยการมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย เพราะเป็นการเพิ่มความยากจนให้แก่คนไทย เนื่องจากหลายนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้ประชาชนฐานรากกู้เงินในลักษณะการบริโภคนิยมส่งผลให้เกิดความฟุ่มเฟือยจนมีหนี้สินตามมาภายหลัง แต่หากต้องการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นก็ควรจะเน้นไปที่การใช้เงินทุนสร้างอาชีพและผลตอบแทนจากเงินทุนเหล่านั้น รวมถึงใช้เงินทุนเพื่อการพัฒนาความเจริญในชุมชน และ สร้างงานในชนบท เป็นต้น

"การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อสินค้า ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือนักธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่ประชาชนได้รับความสะดวกสบายระยะสั้นๆ แต่สุดท้ายก็ต้องรับภาระหนี้ และปัญหาความยากจนก็จะสะสมจนยากต่อการแก้ไขได้" นายตีรณกล่าวและว่า ประเทศไทยยังมีคนจนอยู่อีกมาก ขณะที่ปัญหานักการเมืองไทยจำนวนมากยังขาดอุดมการณ์ โดยยึดการเมืองเป็นทั้งอาชีพและเป็นธุรกิจ ซึ่งถือว่าอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยและการบริหารประเทศ ส่วนระบบการศึกษาของไทยยังเน้นเพียงขยายปริมาณให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่าการเน้นคุณภาพ โดยหากไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของประชากรก็จะทำให้คนจนมีค่าแรงที่ถูก"

ครูต้องการคน "พปช." คุม

นายนิพนธ์ ชื่นตา ประธานสภาสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ควรเป็นพรรคแกนนำที่จัดตั้งรัฐบาล จะได้ผลักดันนโยบายการศึกษาสำคัญๆ ได้อย่างรวดเร็ว และนโยบายการศึกษาเหล่านี้จะได้นำไปพัฒนาคนทั้งประเทศ นอกจากนี้ ครูอยากได้คนรู้ระบบการศึกษาเป็นอย่างดี รู้กฎหมายการศึกษาและรัฐธรรมนูญ จะได้ไม่เสียเวลามาหาข้อมูลหรือเรียนรู้งาน ที่สำคัญจะได้ไม่ต้องทำอะไรผิดๆ ถูกๆ อีก

"คุณสมบัติของผู้ที่จะมานั่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ต้องการรู้เรื่องการศึกษาเป็นอย่างดี รู้กฎหมาย จะได้ขับเคลื่อนการศึกษา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 303 ซึ่งได้กำหนดไว้ว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจะต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี ”

นายธนารัชต์ สมคเณ นายกสมาคมนักพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อพรรคพลังประชาชน (พปช.) เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และมีนโยบายที่จะพัฒนาและดูแลงานด้านการศึกษาเอง ตนในฐานะตัวแทนสมาคมฯ จึงเสนอลักษณะของ รมว.ศธ. ที่ครูต้องการ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้มีโอกาสหารือร่วม น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการ พปช. และได้เสนอว่า ศธ. ต้องการผู้ที่เคยเป็นครูหรือคนที่เข้าใจครูมาทำหน้าที่ รมว.ศธ. มีความเก่ง และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย เนื่องจากยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่ยังเป็นปัญหาอยู่แม้จะมีการแก้ไปบางส่วนแล้วก็ตาม

พร้อมกันนี้ยังได้ฝากให้ พปช.ดูแลการศึกษาในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ที่สำคัญ รมว.ศธ.คนใหม่จะต้องกล้าตัดสินใจ กล้าเดินหน้าทำงาน ไม่ใช่ทำงานเหมือนช่วงกำลังฮันนีมูนคือ นั่งศึกษางาน 3-6 เดือน กว่าจะลงมือทำ รวมถึงขอให้สานต่อเรื่องที่พรรคไทยรักไทย(ทรท.) เดิมเมื่อครั้งนายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.ศธ. ได้เคยให้งบประมาณสนับสนุนในการจัดทำประกอบวิชาชีพให้ครู คนละ 500 บาท แก่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา แต่เมื่อหมดสมัยนายอดิศัย โพธารามิก ก็ไม่มีการสานต่อเรื่องดังกล่าว ทำให้คุรุสภาต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวนี้ เพื่อดำเนินการให้ครู 800,000 คน รวมเป็นเงิน 400 ล้านบาท

“เคยคุยเรื่องลักษณะ รมว.ศธ. กับคุณหมอ ชี้แจงไปว่าอยากได้ครูมาเป็นผู้นำ ไม่ต้องการผู้ที่เป็นนายทุน หรือเป็นนักวิชาการ เพราะที่ผ่านมาเราเห็นมาหมดแล้วในเรื่องการทำงานโดยบุคคลทั้ง 2 กลุ่มนี้ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าผู้ที่ทำงานในอาชีพครูที่คิดว่าจะสามารถดำรงตำแหน่ง รมว.ศธ.ได้ ยกตัวอย่างนายสุชน ชาลีเครือ นายโสภณ ซารัมย์ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข นายนิสิต สินธุไพร เป็นต้น ผมยกตัวอย่างนะไม่ได้เสนอชื่อบุคคลเหล่านี้อย่างไรก็ตาม เราเปิดกว้างที่จะรับทุกคน เพียงแต่ขอให้ พปช.เข้าไปมีส่วนสำคัญที่จะเลือกเฟ้นผู้ที่จะมารับหน้าที่นี้” นายธนารัชต์ กล่าว

นายเพิ่ม หลวงแก้ว ประธานสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ที่จะมาเป็น รมว.ศธ.คนใหม่จะต้องมีความรู้ และเข้าใจบริบทของการศึกษา และก็อยากให้พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลฟันธงมาเลยว่า จะให้ใครนั่งเก้าอี้ รมว.ศธ. แล้วเลือกคนนี้มาเพื่ออะไร และจะให้ดำเนินนโยบายหรือมีแผนการดำเนินงานอย่างไร เพราะปัจจุบัน กระทรวงศึกษามีปัญหาหลายจุดที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย เรื่องคุณภาพการศึกษา เรื่องบุคลากร และที่สำคัญอยากให้ รมว.ศธ.คนใหม่จะต้องทำงานประสานงานกับบุคลากรทั้งในและนอกกระทรวงได้อย่างดีด้วย

นายสงวน อินทรักษ์ เลขาธิการสมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการ ฯศธ. คนต่อไปต้องเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายการแก้ปัญหาของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องอยู่ในการดูแลของหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ เพื่อให้การพัฒนาการศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต โดยส่วนตัวแล้วผมต้องการให้พรรคการเมืองเดียวมาดูแล ศธ. เพราะจะทำให้สามารถดำเนินงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาการศึกษาได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ มาตรการรักษาความปลอดของบุคลากรทางการศึกษา

"คุณภาพการศึกษาของเด็กและเยาวชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตกต่ำมาก เพราะครูและบุคลากรทางการศึกษาขาดขวัญและกำลังใจ รวมทั้งความมั่นคงในการดำรงชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ที่ผ่านมาการดำเนินตามยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ของ ศธ. ยังไม่เป็นรูปธรรม เพราะยุทธศาสตร์ไม่สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติในพื้นที่ที่มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา"

นายสงวน กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการฯ ศธ. คนใหม่ต้องมีความรู้ความเข้าใจ และสนองความต้องการการจัดการศึกษาของคนในพื้นที่ อย่างการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาไม่ควรให้บุคลากรทางการศึกษาเดินทางไปแสวงหาความรู้นอกพื้นที่ แต่ต้องจัดการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ เชื่อว่าครูฯ ในพื้นที่ทุกคนรอการดูแลจากรัฐมนตรีว่าการฯ ศธ. คนใหม่ ซึ่งผมเข้าใจว่า พปช.จะดูแล ศธ. เอง จึงขอเสนอให้ รมว. ศธ.ประสาน ความมั่นคงเพื่อครูและลูกศิษย์ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น