xs
xsm
sm
md
lg

เอนเนอร์จีฟันด์ลุยไบโอดีเซล จ่ายผลตอบแทนผู้ลงทุน20%ต่อปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.เอ็มเอฟซี ติดเครื่องกองทุนเอนเนอร์จี ฟันด์ ประเดิมใส่เงิน 20 ล้านบาทในบริษัทอี-เอสเทอร์ ลงทุนด้านธุรกิจพลังงานทดแทน "ไบโอดีเซล" ในจังหวัดเชียงราย ตั้งเป้าจ่ายผลตอบแทน 20% ต่อปี เตรียมจ่อคิวอีก 1,000 ล้านบาทร่วมลงทุน 3 บริษัทภายในไตรมาสแรก พร้อมเดินหน้าขยายไซด์ให้ครบ 4,000 ล้านบาท

นายพิชิต อัคราทิตย์
กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากกองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ สามารถระดมทุนได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท ขณะนี้กองทุนได้เข้าไปลงทุนแล้วในบริษัทอี-เอสเทอร์ จำกัด ซึ่งนับเป็นบริษัทแรกที่กองทุนเข้าไปลงทุน โดยบริษัทดังกล่าวถือเป็นบริษัทที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นบริษัทค้นคว้าและวิจัยพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพประเภทไบโอดีเซลที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพในการเติบโตสูง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน

ทั้งนี้ กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ เข้าไปลงทุนในบริษัทอี-เอสเทอร์ในสัดส่วนไม่เกิน 25% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท หรือคิดเป็นจำนวนเงินลงทุนทั้งหมด 20 ล้านบาท โดยการลงทุนดังกล่าวอยู่ในรูปของหุ้น และมีการติดตามการบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษาทางด้านการเงินรวมถึงการบริหารจัดการด้านอื่นๆที่ผู้ประกอบการต้องการด้วย

สำหรับเหตุผลที่กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ เลือกลงทุนในบริษัทอี-เอสเทอร์ จำกัด เนื่องจากมีจุดเด่นด้านนวัตกรรม และกระบวนการผลิตได้รับการคิดค้นและพัฒนาโดยฝีมือคนไทยล้วนๆ โดยเน้นขนาดการผลิตเน้นเป็นหน่วยการผลิตย่อยๆ ที่ไม่ใหญ่โตจนเกินไป ระบบการผลิตเป็นระบบปิดใช้พื้นที่ไม่มาก และเน้นใช้วัตถุดิบในพื้นที่เป็นหลัก จึงทำให้มีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าคู่แข่ง ขณะเดียวกัน ยังมีการใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่เพิ่มความรวดเร็วในการผลิต ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตสูงถึง 100,000 ลิตรต่อวันต่อโรงงานหนึ่งแห่ง ซึ่งบริษัทได้วางแผนที่จะขยายการผลิตสูงสุดถึง 300,000 ลิตรต่อวันหรือ 3 โรงงาน

"การลงทุนในครั้งนี้ ถือว่าตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเอนเนอร์จีฟันด์ ที่ต้องการสนับสนุนให้ลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ และแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเราเองภาคภูมิใจที่ได้มีส่วยช่วยแก้ปัญหาทางด้านพลังงานของประเทศ"นายพิชิตกล่าว

นายพิชิตกล่าวว่า ปัจจุบันโรงงานผลิตของ บริษัท อี-เอสเทอร์ ตั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย และเร็วๆ นี้มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีกแห่งที่ ถนนเพชรเกษม กรุงเทพมหานคร ตลาดหลักของ ไบโอดีเซลที่บริษัท อี-เอสเทอร์ จำกัด ผลิตขึ้น ส่วนใหญ่เป็นตลาดท้องถิ่น อาทิ ผู้ใช้รถขนส่งระหว่างจังหวัด ซึ่งนอกจากช่วยยกระดับราคาสินค้าเกษตรในท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการช่วยสนับสนุนพลังงานทางเลือกเพื่อลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย นอกจากเทคโนโลยีการผลิตจะเป็นฝีมือคนไทย โดยไม่พึ่งพาต่างประเทศ ทำให้สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง และมีต้นทุนที่ถูกกว่าการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างชาติ จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ ไบโอดีเซลของโรงงานมีมาตรฐานตามเกณฑ์ของกระทรวงพลังงาน รวมทั้งมีระบบบริหารการจัดการที่ดี

ทั้งนี้ กองทุนประมาณการผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งนี้อยู่ที่ 20% ต่อปี โดยกองทุนมีอายุการลงทุน 5 ปี ซึ่งในช่วง 5 ปีแรกจะเป็นช่วงของการลงทุนและจะเริ่มรับผลตอบแทนในช่วง 5 ปีหลัง นอกจากนี้ ในระยะยาวยังมีแผนสนับสนุนให้บริษัทเหล่านี้

สำหรับกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เอนเนอร์จี ฟันด์ ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าโครงการ 4,000 ล้าน โดยในขณะนี้ได้ระดมทุนจากนักลงทุนสถาบันได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท จากกลุ่มสถาบันการเงิน นักลงทุนสถาบัน และกลุ่มธุรกิจพลังงาน 11 แห่ง และคาดว่าจะระดมทุนครบมูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาทในปีหน้า โดยภายในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ กองทุนคาดว่าจะสามารถลงทุนเพิ่มๆได้อีก 3 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในบริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวข้องกับพลังงาน พลังงานทดแทนและธุรกิจที่มีส่วนสนับสนุนนโยบายของรัฐด้านพลังงานที่มีขนาดเงินลงทุนประมาณ 50-500 ล้านบาท เพื่อช่วยพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) จากแหล่งทรัพยากรภายในประเทศ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซพิษจากการเผาไหม้ ของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อนและปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยกองทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่จะเข้าร่วมลงทุนอีกเกือบ 30 แห่ง คาดว่าจะลงทุนเพิ่มอีก 2-3 แห่งภายในไตรมาส 1 ของปี 2551 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเชิงลึกอีก 5-6 แห่ง

นายสุรเธียร จักรธรานนท์ ประธานกรรมการบริษัทอี-เอสเทอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียนทั้งหมด 80 ล้านบาท ซึ่งนอกจากกองทุนเป็นผู้ถือหุ้นแล้วยังมีผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ อีกประมาณ 20 ราย โดยโรงงานที่จัดตั้งขึ้นในจังหวัดเชียงรายนี้ถือเป็นแห่งแรก และหลังจากนี้ หากมีกระแสเงินสดจากการขายสินค้าได้ดีพอก็จะขยายโรงงานเพิ่มอีก 2 โรงงานภายใน 3 ปี ซึ่งในส่วนของโรงงานที่ 2 นั้น ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะอยู่ที่ถนนเพชรเกษมที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพ และจังหวัดในเขตภาคใต้ที่มีการปลูกปาล์มน้ำมันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ คาดว่าจะได้เห็นโรงงานที่ 2 ประมาณกลางปีหลังไตรมาส 3 ของปีหน้า ส่วนโรงงานที่ 3 อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะอยู่ในเขตภาคตะวันออกหรือภาคใต้

สำหรับโรงงานของบริษัทอี-เอสเทอร์ เป็นโรงงานขนาดเล็กที่สามารถกลั่นน้ำมันไปโอดีเซลได้จากวัตถุดิบหลายประเภท ทั้ง ปาล์มน้ำมัน น้ำมันใช้แล้ว สบู่ดำ เป็นต้น โดยในส่วนของปาล์มน้ำมันนั้น ขณะนี้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรในจังหวัดเชียงรายปลูกเพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบหลักให้โรงงาน ซึ่งในปัจจุบันมีพื้นที่การปลูกแล้วประมาณ 1.3-1.4 หมื่นไร่และคาดว่าจะมีพื้นที่การปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 หมื่นไร่ในอีก 1 ปีหลังจากนี้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันโรงงานสามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้ประมาณ 5 หมื่นลิตรต่อวันและตั้งเป้าจะเพิ่มให้เป็น 1 แสนลิตรต่อวันเร็วๆนี้

"เรามีต้นทุนในการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีที่คิดขึ้นเอง และมีวัตถุดิบรองรับเพียงพอ โดยต้นทุนการผลิตลดลงถึง 20% ของต้นทุนการผลิตทั่วไป ประกอบกับน้ำมันไบโอดีเซลที่เราผลิตได้ เป็นน้ำมันที่มีมาตรฐานสูงและได้รับการยอมรับ ได้ได้รับการสนับสนุนจาก ปตท.ในแง่ของการประเมินคุณภาพ ซึ่งน้ำมันไบโอดีเซลที่ได้ดังกล่าวสามารถทดแทนน้ำมันดีเซลได้อย่างเต็มที่"นายนายสุรเธียรกล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการยื่นเสนอขอใบอนุญาตการค้าน้ำมันกับกระทรวงพลังงาน โดยคาดว่าน่าจะสามารถเปิดจำหน่ายได้ภายในไตรามาสแรกของปี ส่วนราคาขายนั้น ในเบื้องต้นยังไม่ได้ขอสรุปว่าจะจำหน่ายลิตรละเท่าไหร่ เพราะต้องพิจารณาถึงความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในท้องถิ่นก่อน แต่ในตลาดขณะนี้ น้ำมันไบโอดีเซลถูกกว่าน้ำมันดีเซลอยู่ประมาณ 1-2 บาท

นายสุรเธียรกล่าวว่า ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศลาวและพม่า รวมถึงจีนที่ต้องการใช้พลังงานค่อนข้างมาก ซึ่งประเทศเหล่านี้เชื่อมต่อถึงประเทศไทยได้ โดยในส่วนของพม่าและลาวเอง มีพื้นที่ที่สามารถปลูกปาล์มได้เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องของกฏหมายของแต่ละประเทศอยู่ ซึ่งถ้าเอื้อต่อการนำเข้าวัตถุดิบก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตั้งโรงงานก็ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น