ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด 0-2686-9500
สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน เปิดศักราช 2008 ด้วยความเงียบเหงา เศร้าและอาลัยไปทั่วทั้งแผ่นดิน เมื่อได้ทราบประกาศจากสำนักพระราชวัง เรื่องการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เช้าวันพุธที่ 2 มกราคม 2551
“เสด็จสู่ฟ้า สมเด็จ พระพี่นางฯ ความโศกศัลย์ ไม่จาง ไปทั่วหล้า
ซึ้งพระคุณ เทิดไว้ ปวงประชา บังคมลา ด้วยเกล้า เฝ้าอาดูร”
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ตลาดหุ้นทั่วโลก ก็เช่นกันดัชนีหุ้นต่างๆ ลดลงกันทั่วหน้า รวมทั้งตลาดหุ้นของไทยที่ดัชนีหุ้นเมื่อปลายปีได้ขยับตัวสูงขึ้นไปทำราคาปิด ก็เริ่มมีการขายทำกำไรกันลงมาจากทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศ สำหรับแนวรับระยะสั้นของดัชนีหุ้น SET ต้องรอดูว่าที่ระดับ 800 จุด จะรับไหวอีกหรือไม่ เพราะได้ลงมาปิดต่ำกว่าไปครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมา เพียง 1 วันก็สามารถดีดกลับได้ทันที มิฉะนั้นก็มีโอกาสลงไปได้ถึงระดับ 777 จุด หรือ 750 จุด ตามที่ได้คาดไว้เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของปี 2550
อย่างไรก็ตามในปีนี้ ดัชนีหุ้นจะมีความผันผวนค่อนข้างสูง เพราะมีเหตุปัจจัยต่างๆหลายอย่างที่จะเข้ามากระทบทั้งในด้านลบและบวก เช่น ปัญหาสินเชื่อ Sub-Prime ที่ยังไม่ยุติ ระดับราคาน้ำมันดิบที่สูงเกินกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ (FOMC) การอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ การแข็งตัวของค่าเงินบาท กระแสเงินที่ไหลเข้าและออกในภูมิภาคเอเชีย ระดับเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลในประเทศ ล้วนมีผลกระทบต่อดัชนีหุ้น
ในบางครั้ง ผู้ลงทุนอาจจะต้องนั่งนิ่งๆ ใช้สติพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจในการลงทุนสำหรับปีนี้ รวมทั้งอาจจะต้องใช้ธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงพร่ำสอนว่า ให้ใช้ ทางสายกลางในการปฏิบัติตน (มัชฌิมาปฏิปทา) เพื่อให้พ้นทุกข์ อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ) หรือ รวบยอดได้เป็น ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
ในอดีตตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจะมีสำนักต่างๆ เน้นการฝึกตนด้วยการทรมานตัวเองให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) เพื่อหวังให้พ้นทุกข์ หรือกล่าวได้ว่าเป็นทางสุดโต่งด้านหนึ่งซึ่งพระพุทธองค์ทรงได้เคยลองปฏิบัติมาแล้ว ตามที่เคยได้ยินกันว่า “ทรงทำทุกรกิริยา จนร่างกาบซูบผอมเหลือแต่กระดูก” แต่ก็ทรงพบว่าไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ในขณะที่อีกทางหนึ่ง ที่เป็นทางสุดโต่งด้านสุข คือการประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม (กามสุขัลลิกานุโยค) ก็ทรงแสดงว่าไม่สามารถทำให้คนเราพ้นทุกข์ได้
ลองหันกลับมาดูพฤติกรรมหรือการคาดหวังของผู้ลงทุน ก็ดูจะมีลักษณะคล้ายกับทางสุดโต่งทั้งสอง กล่าวคือ ผู้ลงทุนที่ยอมทนทุกข์ด้วยการกอดหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ขาดทุนไว้ ไม่ยอมขายเพื่อตัดขาดทุน (cut loss) ช่างเสมือนว่าผู้ลงทุนกำลังทำทุกรกิริยาอยู่ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะพ้นทุกข์ได้เมื่อราคาของหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นจะปรับตัวสูงขึ้นมาใหม่จนได้กำไร เชื่อหรือไม่ว่ามีผู้ลงทุนบางรายยอมถือหุ้นที่ขาดทุนถึง 20 – 30% อยู่เป็นเวลานานถึง 2 – 3 ปี โดยไม่ทำอะไรเลย !
สำหรับผู้ลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมด้านความสุข ด้วยการกอดหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ได้กำไรอยู่ไว้ ไม่ยอมขายทำกำไร (take profit) ออกไปเลย ก็เสมือนว่าผู้ลงทุนกำลังเสวยกามสุขัลลิกานุโยค โดยลืมไปว่ากำไรที่มีอยู่ถ้าไม่ได้ขายออกไปบ้าง บางครั้งกำไรที่ว่านั้นก็อาจจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขในบัญชี ไม่ได้แปลงกลับมาเป็นตัวเงินด้วยการขายทำกำไร วันหนึ่งเมื่อราคาของหุ้นลดต่ำลงตัวเลขนั้นก็จะหายตามไปด้วย
เพื่อให้ผู้ลงทุน ไม่เกิดทุกข์หรือติดสุขมากจนเกินไปจากการลงทุน ขอเสนอให้นำแนวทางแห่ง“ทางสายกลางของการลงทุน” ไปใช้ คือ ผู้ลงทุนจะต้องรู้จักการกำหนดระดับราคาที่จะขายเพื่อตัดขาดทุน และในขณะเดียวกัน ก็ต้องรู้จัก การแบ่งส่วนของหลักทรัพย์พร้อมกำหนดระดับราคาที่จะขายเพื่อทำกำไรเอาไว้บ้าง และคิดว่าในปีชวด (หนูดิน) นี้ กลยุทธ์แห่งทางสายกลาง จะมีโอกาสทำกำไรให้กับผู้ลงทุนมากกว่ากลยุทธ์อื่น
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย – สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”
“ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด 0-2686-9500
สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน เปิดศักราช 2008 ด้วยความเงียบเหงา เศร้าและอาลัยไปทั่วทั้งแผ่นดิน เมื่อได้ทราบประกาศจากสำนักพระราชวัง เรื่องการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เช้าวันพุธที่ 2 มกราคม 2551
“เสด็จสู่ฟ้า สมเด็จ พระพี่นางฯ ความโศกศัลย์ ไม่จาง ไปทั่วหล้า
ซึ้งพระคุณ เทิดไว้ ปวงประชา บังคมลา ด้วยเกล้า เฝ้าอาดูร”
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ตลาดหุ้นทั่วโลก ก็เช่นกันดัชนีหุ้นต่างๆ ลดลงกันทั่วหน้า รวมทั้งตลาดหุ้นของไทยที่ดัชนีหุ้นเมื่อปลายปีได้ขยับตัวสูงขึ้นไปทำราคาปิด ก็เริ่มมีการขายทำกำไรกันลงมาจากทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศ สำหรับแนวรับระยะสั้นของดัชนีหุ้น SET ต้องรอดูว่าที่ระดับ 800 จุด จะรับไหวอีกหรือไม่ เพราะได้ลงมาปิดต่ำกว่าไปครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมา เพียง 1 วันก็สามารถดีดกลับได้ทันที มิฉะนั้นก็มีโอกาสลงไปได้ถึงระดับ 777 จุด หรือ 750 จุด ตามที่ได้คาดไว้เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของปี 2550
อย่างไรก็ตามในปีนี้ ดัชนีหุ้นจะมีความผันผวนค่อนข้างสูง เพราะมีเหตุปัจจัยต่างๆหลายอย่างที่จะเข้ามากระทบทั้งในด้านลบและบวก เช่น ปัญหาสินเชื่อ Sub-Prime ที่ยังไม่ยุติ ระดับราคาน้ำมันดิบที่สูงเกินกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ (FOMC) การอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ การแข็งตัวของค่าเงินบาท กระแสเงินที่ไหลเข้าและออกในภูมิภาคเอเชีย ระดับเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลในประเทศ ล้วนมีผลกระทบต่อดัชนีหุ้น
ในบางครั้ง ผู้ลงทุนอาจจะต้องนั่งนิ่งๆ ใช้สติพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจในการลงทุนสำหรับปีนี้ รวมทั้งอาจจะต้องใช้ธรรมะที่พระพุทธองค์ได้ทรงพร่ำสอนว่า ให้ใช้ ทางสายกลางในการปฏิบัติตน (มัชฌิมาปฏิปทา) เพื่อให้พ้นทุกข์ อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ) หรือ รวบยอดได้เป็น ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
ในอดีตตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจะมีสำนักต่างๆ เน้นการฝึกตนด้วยการทรมานตัวเองให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) เพื่อหวังให้พ้นทุกข์ หรือกล่าวได้ว่าเป็นทางสุดโต่งด้านหนึ่งซึ่งพระพุทธองค์ทรงได้เคยลองปฏิบัติมาแล้ว ตามที่เคยได้ยินกันว่า “ทรงทำทุกรกิริยา จนร่างกาบซูบผอมเหลือแต่กระดูก” แต่ก็ทรงพบว่าไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ในขณะที่อีกทางหนึ่ง ที่เป็นทางสุดโต่งด้านสุข คือการประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม (กามสุขัลลิกานุโยค) ก็ทรงแสดงว่าไม่สามารถทำให้คนเราพ้นทุกข์ได้
ลองหันกลับมาดูพฤติกรรมหรือการคาดหวังของผู้ลงทุน ก็ดูจะมีลักษณะคล้ายกับทางสุดโต่งทั้งสอง กล่าวคือ ผู้ลงทุนที่ยอมทนทุกข์ด้วยการกอดหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ขาดทุนไว้ ไม่ยอมขายเพื่อตัดขาดทุน (cut loss) ช่างเสมือนว่าผู้ลงทุนกำลังทำทุกรกิริยาอยู่ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะพ้นทุกข์ได้เมื่อราคาของหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นจะปรับตัวสูงขึ้นมาใหม่จนได้กำไร เชื่อหรือไม่ว่ามีผู้ลงทุนบางรายยอมถือหุ้นที่ขาดทุนถึง 20 – 30% อยู่เป็นเวลานานถึง 2 – 3 ปี โดยไม่ทำอะไรเลย !
สำหรับผู้ลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมด้านความสุข ด้วยการกอดหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ได้กำไรอยู่ไว้ ไม่ยอมขายทำกำไร (take profit) ออกไปเลย ก็เสมือนว่าผู้ลงทุนกำลังเสวยกามสุขัลลิกานุโยค โดยลืมไปว่ากำไรที่มีอยู่ถ้าไม่ได้ขายออกไปบ้าง บางครั้งกำไรที่ว่านั้นก็อาจจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขในบัญชี ไม่ได้แปลงกลับมาเป็นตัวเงินด้วยการขายทำกำไร วันหนึ่งเมื่อราคาของหุ้นลดต่ำลงตัวเลขนั้นก็จะหายตามไปด้วย
เพื่อให้ผู้ลงทุน ไม่เกิดทุกข์หรือติดสุขมากจนเกินไปจากการลงทุน ขอเสนอให้นำแนวทางแห่ง“ทางสายกลางของการลงทุน” ไปใช้ คือ ผู้ลงทุนจะต้องรู้จักการกำหนดระดับราคาที่จะขายเพื่อตัดขาดทุน และในขณะเดียวกัน ก็ต้องรู้จัก การแบ่งส่วนของหลักทรัพย์พร้อมกำหนดระดับราคาที่จะขายเพื่อทำกำไรเอาไว้บ้าง และคิดว่าในปีชวด (หนูดิน) นี้ กลยุทธ์แห่งทางสายกลาง จะมีโอกาสทำกำไรให้กับผู้ลงทุนมากกว่ากลยุทธ์อื่น
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย – สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”
“ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”