ในที่สุดแผนการห้ามจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเพียวๆในตลาดยุโรปภายในปี2035 กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อมีการยืนยันว่าคณะกรรมาธิการยุโรป หรือEuropean Commission จะดำเนินการยกเลิกแผนการนี้ตามที่สมาชิกสภานิติบัญญัติอาวุโสของสหภาพยุโรปได้แถลงออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งจะเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับเยอรมนีที่พยายามอย่างหนักเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของตัวเองซึ่งถือว่าเป็นเส้นเลือดหลักของประเทศนี้
จุดเริ่มต้นของข้อบังคับมาจากการประชุมคณะมนตรีแห่งสภาพยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม (EU Environment Council Meeting) เมื่อเดือนมิถุนายน2022 ณ ประเทศลักเซมเบิร์กซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จำนวน 27 ประเทศ เข้าร่วมการประชุม ได้บรรลุข้อตกลงที่จะให้ความเห็นชอบต่อร่างมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ประกอบด้วยข้อเสนอกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับเงื่อนไขเพิ่มเติมที่เป็นข้อยกเว้นสำหรับการห้ามขายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป หมายความว่า ข้อตกลงนี้จะไม่อนุญาตให้ขายรถยนต์ใหม่ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในในกลุ่มประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปเริ่มตั้งแต่ปี2035 ทั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายของสหภาพยุโรปในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้100% ภายในปี2035 และเพื่อไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050
ตอนนั้นรัฐบาลผสมของเยอรมนีสนับสนุนข้อตกลงภายใต้เงื่อนไขว่าการขายรถยนต์ใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิง “CO2 ที่เป็นกลาง” ควรจะยังคงดำเนินต่อไปได้หลังจากปี2035 ซึ่งที่ประชุมได้มีการถกเถียงกันถึงประเด็นการห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาปอาจได้รับการต่อต้านโดยเฉพาะเยอรมนีที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรปแต่สุดท้ายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้โหวตด้วยคะแนนเสียงข้างมากให้ข้อตกลงดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี2035 ที่ให้เฉพาะรถยนต์และรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้นที่สามารถขายได้ในสหภาพยุโรป ซึ่งกลายมาเป็นข้อบังคับที่ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง
เรื่องของการยกเลิกข้อกำหนดนี้ ทางด้านManfred Weber ประธานพรรคEPP ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภายุโรป ได้กล่าวว่าอาจจะมีข้อเสนอทางเลือกใหม่ โดยเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 90% สำหรับเป้าหมายของผู้ผลิตรถยนต์ตั้งแต่ปี 2035 แทนที่จะเป็นแบบปลอดไอเสียเลย และมีแนวโน้มว่าจะใช้กฎข้อนี้ยาวจนกระทั่งถึงปี2040 เลย
"ในสัปดาห์หน้าประมาณวันอังคาร์ (16 ธันวาคม) คณะกรรมาธิการยุโรปจะเสนอข้อเสนอที่ชัดเจนเพื่อยกเลิกการห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน" Weber กล่าวในการแถลงข่าวที่เมืองHeidelberg ประเทศเยอรมนี
สำหรับการยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายนับจากปี 2035 เป็นต้นไปนั้น ตามที่วางแผนไว้จะเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ของสหภาพยุโรปในการผลักดันการลดการปล่อยคาร์บอนของทวีปและส่งเสริมการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลานำมาใช้ในการปฏิบัติจริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ งบประมาณที่ไม่เพียงพอ เช่นเดียวกับปัญหาในเรื่องซัพพลายเชนที่ไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วตาม บวกกับราคาของแร่หายากอย่างลิเธียมที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่มีราคาแพงขึ้นอย่างน่าตกใจตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และที่สำคัญคือ การรุกรานของรถยนต์พลังไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาถูกและเข้าถึงได้ง่าย โดยที่นโยบายควบคุมในเชิงของภาครัฐไม่สามารถกำกับหรือดูแลได้เลย
Friedrich Merz นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่ารถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นเส้นทางหลักสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
แต่ก็ยังเปิดกว้างให้เทคโนโลยีอื่นๆ เช่น เชื้อเพลิงสังเคราะห์ เพื่อสร้างความมั่นใจในการวางแผนให้อุตสาหกรรม โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังเยอรมนีพยายามกดดันสหภาพยุโรปอย่างหนัก เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปกำลังเผชิญการรุกตลาดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน และการจำกัดนำเข้าจากสหรัฐฯ ขณะที่ปริมาณความต้องการรถไฟฟ้าไม่เป็นไปตามคาด
นอกจากเยอรมนีแล้วยังมีอีกหลายประเทศที่มองว่าการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของรถยนต์พลังไฟฟ้าหรือแบบไร้มลพิษเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วและส่งผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ที่คัดค้านมักจะมีอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แข็งแกร่ง หรือไม่ก็เป็นประเทศที่มีซัพพลายเออร์ทั้งTier 1 หรือ Tier 2 ตั้งโรงงานผลิต เช่นเดียวกับการเป็นฐานการผลิตของรถยนต์
ตอนนี้มีผู้นำ 6 ประเทศ ซึ่งก็คือ อิตาลี โปแลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย เช็ค และบัลแกเรียได้ส่งจดหมายเปิดผนึกไปยังคณะกรรมาธิการยุโรปได้พิจารณา นายกรัฐมนตรีของอิตาลีGiorgia Meloni และDonald Tusk นายกรัฐมนตรีของโปแลนด์ได้ขอให้คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้ผ่อนปรนกฎระเบียบด้านการปล่อยมลพิษจากยานยนต์ของกลุ่มประเทศสมาชิก เพื่อหยุดยั้งการห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาปโดยพฤตินัยที่วางแผนไว้ภายในกลางทศวรรษหน้า
“เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญทั้งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของสหภาพยุโรป และสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป เราต้องดำเนินการตามเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำลายความสามารถในการแข่งขันของเราในระหว่างนี้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรม แต่นั่นคือ สิ่งที่เราต้องหาทางออกให้ได้” ส่วนหนี่งของเนื้อหาในจดหมายเรียกร้อง
อิตาลีและเยอรมนีกำลังพยายามร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการผ่อนปรนข้อห้ามการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศยุโรป โดยพยายามปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของตนจากการแข่งขันจากจีนความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนแอเกินคาด และภาษีการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ต้นทุนพลังงานและแรงงานที่สูงในยุโรปกำลังบีบให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องลดจำนวนพนักงานและโยกย้ายการลงทุนไปยังที่อื่น ผู้ผลิตเช่นStellantis NV, Volkswagen AG และRenault SA กำลังต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของข้อห้ามดังกล่าว เนื่องจากพวกเขาวางแผนการลงทุนในอนาคต โดยมีเงินหลายพันล้านยูโรเป็นเดิมพัน
ทางด้านเยอรมนีกล่าววว่า ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของตลาดและผู้บริโภคว่าจะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างไรซึ่งสอดคล้องกับข้อโต้แย้งของ Mercedes-Benz และBMW แต่ขัดแย้งกับVolvo Cars ของสวีเดนและบริษัทอื่นๆ ที่กล่าวว่าพวกเขาได้ลงทุนอย่างหนักในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้ว และการกลับลำเรื่องการห้ามใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นการทรยศกับลูกค้า เช่นเดียวกับการสูญเสียเงินก้อนโต
Erik Severinson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ของVolvo Cars กล่าวกับReuters เมื่อวันศุกร์ว่า การกลับลำใดๆ จะบั่นทอนความเชื่อมั่นในกฎระเบียบในอนาคต และบริษัทของเขา "พร้อมแล้ว" ที่จะดำเนินการกับทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งมีกำหนดจะประกาศเกี่ยวกับโครงการที่วางแผนไว้ในวันที่ 16 ธันวาคม กล่าวว่าจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอใดๆ ก่อนเวลาดังกล่าว
Weber ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ภายใต้แผนใหม่นี้ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 90%จะเป็นข้อบังคับสำหรับเป้าหมายของกลุ่มรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไปและแน่นอนว่าจะไม่มีการบังคับให้รถยนต์ใหม่ต้องปลอดไอเสียอย่างน้อยก็ภายในปี 2040
แน่นอนว่า การยกเลิกแผนบังคับใช้นี้มีผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะหลายค่ายต่างวางแผนและดำเนินการทำงานบางส่วนกันไปแล้ว โดยเฉพาะบางแบรนด์ที่พร้อมลุยตลาดรถยนต์ปลอดมลพิษอย่างเต็มที่


