โตโยต้า ซี-เอชอาร์ ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ยุโรป พร้อมขุมพลังไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร เพิ่มเติมด้วยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 2.0 ลิตรที่สามารถปรับเป็นโหมดไฟฟ้าได้อัตโนมัติเมื่อเข้าสู่เขตมลพิษต่ำตามเมืองใหญ่ของยุโรป
โตโยต้าระบุว่า โตโยต้า ซี-เอชอาร์ เจเนอเรชันที่ 2 ได้รับการออกแบบและพัฒนาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าชาวยุโรปโดยเฉพาะ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์ภายนอกเปรียบเสมือนกับรถต้นแบบที่ใช้งานได้จริง โดยยังคงเน้นเส้นสายที่ดูโฉบเฉี่ยวสไตล์คูเป้ พร้อมดีไซน์ด้านหน้าที่คล้ายคลึงกับพรีอุสและ bZ4X อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยสีตัวถังแบบทูโทน ที่ใช้สีตัดกันระหว่างตัวถังส่วนหน้าและส่วนท้าย สามารถเลือกติดตั้งล้ออัลลอยขนาดใหญ่สุดถึง 20 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบเน้นผู้ขับขี่เป็นสำคัญ มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) ที่สามารถแสดงผลได้อย่างคมชัด สามารถอ่านข้อมูลได้ง่าย และยังสามารถตั้งค่าการแสดงผลล่วงหน้าได้ถึง 3 รูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับการขับขี่ในขณะนั้น เช่น การแสดงข้อมูลระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) เป็นข้อมูลหลักขณะขับขี่บนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น
ขณะที่ระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense มีการเพิ่มฟังก์ชันอย่างระบบ Acceleration Suppression ที่ช่วยหน่วงคันเร่งหากพบว่ามีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงขณะที่มีสิ่งกีดขวางอยู่ด้านหน้า, ระบบ Proactive Driving Assist (PDA) ช่วยลดความเร็วอย่างนุ่มนวลเมื่อผู้ขับขี่ปล่อยคันเร่งขณะตัวรถกำลังเคลื่อนที่เข้าหารถคันหน้าหรือก่อนเข้าโค้ง และระบบ Steering Assist ที่สามารถตรวจจับโค้งที่อยู่ด้านหน้าก่อนจะเพิ่มแรงหมุนของพวงมาลัยเพื่อให้สามารถเข้าโค้งได้อย่างนุ่มนวลและมั่นคง เป็นต้น
โตโยต้า ซี-เอชอาร์ ที่วางจำหน่ายในยุโรป จะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร (HEV) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD-i เป็นออปชันเสริมในรุ่นไฮบริด 2.0 ลิตร โดยจะเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หลังอีก 1 ตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและยึดเกาะถนน
ส่วนอีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดขนาด 2.0 ลิตร ที่สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ พร้อมฟังก์ชัน One pedal ที่สามารถปรับแรงหน่วงได้ 3 ระดับ และยังสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้โดยอัตโนมัติเพื่อลดการใช้พลังงานให้มากที่สุดจนกว่าจะถึงสถานีชาร์จถัดไป อีกทั้งยังสามารถปรับโหมดการขับขี่เป็นไฟฟ้าล้วน (EV) ได้โดยอัตโนมัติเมื่อรถเคลื่อนที่เข้าสู่เขตมลพิษต่ำ (LEZ - Low Emission Zone) ตามหัวเมืองใหญ่ของยุโรปอีกด้วย