“เชลล์” ชี้ไม่กระทบ หลัง บางจาก รวม เอสโซ่ แต่เปรย เสียดายคู่แข่งหายไป ทำให้ทางเลือกของผู้บริโภคน้อยลง ย้ำ เซลล์ ยังอยู่ ไม่จากไปไหนแน่นอน พร้อมเปิดตัวน้ำมัน V-Power สูตรใหม่ ด้วยงบวิจัยกว่า 30,000 ล้านบาท ครองเบอร์หนึ่ง เชื่อรถใช้น้ำมันจะยังคงอยู่อีกนานแม้กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาแรง
นายเรืองศักดิ์ ศรีธนวิบุญชัย กรรมการบริหาร ธุรกิจโมบิลิตี้ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในเชิงการทำธุรกิจไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามในมุมของผู้บริโภคย่อมได้รับผลกระทบเนื่องจากมีตัวเลือกน้อยลง การแข่งขันจะน้อยลงตามไปด้วย ในส่วนของเชลล์ยืนยันว่ายังคงดำเนินกิจการอยู่ ไม่มีการย้ายหนีไปไหน ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดตัวน้ำมันเชลล์ วี-เพาเวอร์ สูตรใหม่ เป็นประเทศแรกในเอเชีย และประเทศที่ 4 ในโลก
“เสียดายที่มีผู้เล่นหายไปจากตลาด สิ่งที่เราทำได้คือ พัฒนาน้ำมันให้ดีขึ้น โดยเชลล์ วี-เพาเวอร์ สูตรใหม่ใช้งบวิจัยและพัฒนากว่า 30,000 ล้านบาท/ปี เพื่อให้ได้นำ้มันที่มีคุณภาพนการป้องกันและกำจัดคราบตะกรันในหัวชิ้นส่วนต่างๆ ช่วยฟื้นฟูสมรรถนะเครื่องยนต์ให้กลับมาทำงานได้ถึง 100% และคงราคาจำหน่ายไว้เท่าเดิม” นายเรืองศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังเปิด วี-เพาเวอร์ สูตรใหม่ เชลล์ ตั้งเป้ารักษาตำแหน่งยอดขายอันดับหน่ึงในกลุ่มน้ำมันเกรดพรีเมี่ยมที่ปัจจุบันเซลล์ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 65% ซึ่งเชลล์มีจำนวนปั้มน้ำมันทั่วประเทศ 704 แห่ง ซึ่งทุกแห่งจะมีนำ้มันเกรดพรีเมี่ยมจำหน่าย
นายเรืองศักดิ์ กล่าวว่า การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า จากตัวเลขของกรมการขนส่งทางบกระบุว่า ยอดสะสมของรถเครื่องยนต์สันดาปภายในมีจำนวนถึง 99.6% ฉะนั้นความต้องการใช้น้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง และหากประเมินตามที่ภาครัฐทำนายไว้ว่าในปี 2573 สัดส่วนของรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 33% และรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน 66% จึงเห็นได้ว่านำ้มันยังคงมีความจำเป็นต่อการใช้งานอยู่
“จากตัวเลขดังกล่าว เชลล์ จึงได้พัฒนานำ้มันสูตรต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ รวมถึงเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและเป็นไปตามข้อกำหนดต่างๆ ของภาครัฐ” นายเรืองศักดิ์ กล่าว
นายเรืองศักดิ์ ศรีธนวิบุญชัย กรรมการบริหาร ธุรกิจโมบิลิตี้ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในเชิงการทำธุรกิจไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามในมุมของผู้บริโภคย่อมได้รับผลกระทบเนื่องจากมีตัวเลือกน้อยลง การแข่งขันจะน้อยลงตามไปด้วย ในส่วนของเชลล์ยืนยันว่ายังคงดำเนินกิจการอยู่ ไม่มีการย้ายหนีไปไหน ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดตัวน้ำมันเชลล์ วี-เพาเวอร์ สูตรใหม่ เป็นประเทศแรกในเอเชีย และประเทศที่ 4 ในโลก
“เสียดายที่มีผู้เล่นหายไปจากตลาด สิ่งที่เราทำได้คือ พัฒนาน้ำมันให้ดีขึ้น โดยเชลล์ วี-เพาเวอร์ สูตรใหม่ใช้งบวิจัยและพัฒนากว่า 30,000 ล้านบาท/ปี เพื่อให้ได้นำ้มันที่มีคุณภาพนการป้องกันและกำจัดคราบตะกรันในหัวชิ้นส่วนต่างๆ ช่วยฟื้นฟูสมรรถนะเครื่องยนต์ให้กลับมาทำงานได้ถึง 100% และคงราคาจำหน่ายไว้เท่าเดิม” นายเรืองศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังเปิด วี-เพาเวอร์ สูตรใหม่ เชลล์ ตั้งเป้ารักษาตำแหน่งยอดขายอันดับหน่ึงในกลุ่มน้ำมันเกรดพรีเมี่ยมที่ปัจจุบันเซลล์ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 65% ซึ่งเชลล์มีจำนวนปั้มน้ำมันทั่วประเทศ 704 แห่ง ซึ่งทุกแห่งจะมีนำ้มันเกรดพรีเมี่ยมจำหน่าย
นายเรืองศักดิ์ กล่าวว่า การเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า จากตัวเลขของกรมการขนส่งทางบกระบุว่า ยอดสะสมของรถเครื่องยนต์สันดาปภายในมีจำนวนถึง 99.6% ฉะนั้นความต้องการใช้น้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง และหากประเมินตามที่ภาครัฐทำนายไว้ว่าในปี 2573 สัดส่วนของรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 33% และรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน 66% จึงเห็นได้ว่านำ้มันยังคงมีความจำเป็นต่อการใช้งานอยู่
“จากตัวเลขดังกล่าว เชลล์ จึงได้พัฒนานำ้มันสูตรต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ รวมถึงเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและเป็นไปตามข้อกำหนดต่างๆ ของภาครัฐ” นายเรืองศักดิ์ กล่าว