รถในตระกูล 7 ของบีเอ็มดับเบิลยูถือว่าเป็นเรือธงในระดับสูงสุด ที่การพัฒนาในแต่ละเจเนอเรชันจะได้รับการใส่เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยที่สุดของยุคเสมอ เช่นเดียวกับเจเนอเรชันล่าสุดของตระกูล 7 ทั้งหมดในคราวนี้ ค่ายใบพัดฟ้าขาวจัดเต็มให้ พร้อมกับการเปิดตัวทำตลาดในคราวเดียวกัน และเชิญสื่อมวลชมเข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ไกลถึง สหรัฐอเมริกา โดยทีมเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ไม่พลาดในการเข้าร่วมครั้งนี้
ซีรี่ส์ 7 และ i7 ใหม่หมดหัวจรดท้าย
ทั้งซีรี่ส์ 7 และ i7 โฉมใหม่มากับรหัสพัฒนา G70 โดยโครงสร้างตัวถังได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และยกเลิกรุ่นตัวถังความยาวปกติ โดยมีทำตลาดเพียงแค่รุ่นตัวถังยาวเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อเทียบกับรุ่นตัวถังยาวโฉมก่อนหน้า ตัวใหม่รหัส G70 จะมีความยาวมากกว่า 130 มม. กว้างขึ้น 48 มม. และสูงขึ้น 51 มม.
ลักษณะการดีไซน์จะมากับทิศทางใหม่ ไฟหน้าแบบ 2 ชั้น แยกส่วนชัดเจน อันเป็นปรัชญาการดีไซน์ล่าสุดของบีเอ็มดับเบิลยูในการออกแบบรถระดับหรูหราที่สุดของแบรนด์ โดยจะนำมาใช้กับรถในตระกูล 7 และ 8 ทุกรุ่นนับจากนี้ ไฟหน้าด้านบนที่มีขนาดเล็กจะมากับคริสตัลของ ซวารอฟกี้ จำนวน 22 ชิ้น รูปแบบกระจังหน้าจะมี 2 ทางเลือกหลักคือ Pure excellence และ M Sport ซึ่งจะมีความแตกต่างกันพอสมควร
หัวใจในซีรี่ส์ 7 จะมีด้วยกัน 3 ทางเลือกหลักคือ เบนซิน , ดีเซล และปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งรุ่นที่จะทำตลาดในประเทศไทยจะเป็นหัวใจแบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ในครั้งนี้ยังไม่มีให้ทดลองขับ โดยรุ่นที่เราขับคือ 760 เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.4 ลิตร กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มาพร้อมกับเทคโนโลยี ไมลด์ไฮบริด แบตเตอรี่แบบ 48 โวลท์
หัวใจสำคัญของโฉมนี้อยู่ที่การออกแบบภายในห้องโดยสารที่ฉีกสไตล์ของบีเอ็มดับเบิลยูออกไปอย่างมาก เน้นความหรูหรา โดยเฉพาะในส่วนของผู้โดยสารตอนหลังถูกเอาใจอย่างมากด้วย จอยาวขนาด 31.3 นิ้ว ที่รองรับความบันเทิงในระดับพรีเมียม ดูยูทูป และ Netflix ได้ มาพร้อมกับระบบควบคุมและสั่งการผ่านหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว เท่าๆ กับโทรศัพท์มือถือติดตั้งที่แผงข้างประตูทั้งซ้ายและขวา เครื่องเสียงเป็น B&W Diamond
ชุดคอนโซลกลางได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด จอและหน้าปัดอยู่รวมในจอยาวชิ้นเดียว มาพร้อมระบบปฏิบัติการชุดใหม่ล่าสุดเวอร์ชัน 8 ที่มีลูกเล่นและรายละเอียดในการสั่งงานที่เยอะมาก โดยเฉพาะในรุ่น i7 ที่มีระบบการสั่งเปิดและปิดประตูพร้อมกันทั้ง 4 บานได้ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบปีกนกสองชั้น โครงสร้างอลูมิเนียมแข็งแรงแต่เบา พร้อมโช้คอัพระบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ ควบคุมด้วยไฟฟ้า ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์แบบ 5 ลิงค์ โครงสร้างอลูมิเนียม พร้อมโช้คอัพระบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ ควบคุมด้วยไฟฟ้า ดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้า 4 พอร์ต
ขณะที่ i7 ใช้โครงสร้างตัวถังพื้นฐานเดียวกันกับ ซีรี่ส์ 7 แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของการกระจายน้ำหนัก เพราะ i7 จะมีแบตเตอรี่วางปูเต็มพื้นห้องโดยสาร และมีมอเตอร์ขับเคลื่อนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พละกำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.
แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนขนาดความจุ 105.6 (ใช้ได้จริง101.7) kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 625 กม. ความเร็วในการชาร์จไฟ ด้วยการชาร์จไวแบบ DC รองรับกำลังไฟสูงสุดที่ 195 kW จาก10-80% ใช้เวลา 34 นาที ส่วนการชาร์จปกติแบบ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 22 kW จาก 0-100% ใช้เวลา 5.5 ชั่วโมง
สำหรับ i7 เปิดจำหน่ายในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว มี 2 ทางเลือกคือ i7 xDrive60 M Sport ราคา 7,849,000 บาท และ i7 xDrive60 M Sport Gran Lusso ราคา 8,599,000 บาท ขณะที่รุ่น First Edition นั้นเป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้สำหรับงาน APEC2022 ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทย และมีจำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น
แรง เนียน นั่งหลังสบาย
การทดลองขับทีมงานบีเอ็มดับเบิลยูของสำนักงานใหญ่ จัดเส้นทางให้เลือกได้ 4 รูปแบบ แต่ละเส้นทางนั้นยาวระดับ 150-200 กม. โดยวันแรกเราเริ่มต้นด้วยซีรี่ส์ 7 ในรุ่น 760i xDrive ความรู้สึกแรกเมื่อได้สัมผัสคือ ความเงียบภายในห้องโดยสาร ยิ่งเมื่อเทียบกับการยืนนอกรถแล้วฟังเสียงของเครื่องยนต์กับความดังของเสียงหลังปิดประตูเข้ามาอยู่ในห้องโดยสารจะพบความแตกต่างที่ชัดเจนมาก
อุปกรณ์การใช้งานต่างๆ ใส่ลูกเล่นมาให้ใหม่อย่างชนิดที่เรียนการใช้งานกันเป็นชั่วโมงก็ยังใช้ไม่หมด ด้านหน้าเป็นจอขนาดยาว ดูง่ายสบายตา ฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ไม่ซับซ้อน ช่องแอร์ดีไซน์ซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่หน้าจอด้านหลัง Theater Screen สำหรับผู้โดยสารที่มีขนาดใหญ่ 31.3 นิ้ว
หน้าจอที่อลังการ สอดรับกับเบาะนั่งที่ปรับให้เอนนอนได้สะดวก เรียกว่าเป็นความสบายระดับเฟิร์สคลาส ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ซีรี่ส์ 7 จัดเต็มมากกว่า เอส-คลาสที่เป็นคู่แข่งโดยตรง โดยจอใหญ่และยาวชุดนี้ดูง่าย สั่งการเปิด-พับผ่านจอเล็กๆ ที่แผงข้างประตู จะมีจุดที่เป็นห่วงคือ เมื่อพับจอลงมา ตัวจอจะบังกระจกมองหลัง จำเป็นที่ผู้ขับขี่จะต้องใช้กระจกมองข้างแทนในการดูรถทางด้านหลัง (ไม่มีกล้องหรือจอถ่ายทอดภาพมาให้ที่กระจกมองหลัง)
ด้านการขับขี่ อัตราเร่งกำลังดีสมกับการเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ แม้ตัวรถจะมีน้ำหนักในระดับ 2 ตันกว่า แต่ความสนุกสนานในการขับขี่ยังคงสไตล์ที่ถูกใจเหล่าบิมเมอร์เอาไว้ได้เหมือนเช่นเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาเป็นพิเศษกว่าโฉมก่อนหน้าคือ ระบบช่วงล่างที่เน้นเอาใจผู้โดยสารทางด้านหลังอย่างไม่เคยพบมาก่อนในซีรีส์7
เริ่มกันที่ตัวเบาะนั่งออกแบบใหม่ ในชื่อ Executive Lounge สามารถปรับเอนนอนได้ ตัวเบาะมีความนุ่ม ผิวสัมผัสเนียนมือ มีหมอนรองคอที่ช่วยพอดี ความรู้สึกในการนั่งทางด้านหลังขณะขับขี่ เป็นความนุ่มนวล และนิ่งเงียบในแบบกำลังสบายพอดี เสียงรบกวนน้อยมาก เรียกว่าบรรยากาศประหนึ่งนั่งดูโซฟาอยู่ในบ้านตัวเองได้
ระบบช่วงล่างที่ปรับมาใหม่ ทั้งซีรี่ส์ 7 และ i7 กับการขับขี่และนั่งทางด้านหลังนั้น ไม่แตกต่างกันมากนัก จะมีเพียงเรื่องของเสียงเครื่องยนต์กับการทรงตัวที่ความเร็วสูงมาก ที่จะเห็นความแตกต่างได้ แต่หากขับในระดับปกติไม่เกิน 140 กม./ชม. รับประกันเรื่องความสบายอย่างที่คุณจะไม่เคยได้สัมผัสจากซีรี่ส์ 7 โฉมอื่นๆ เรียกว่าเป็น ซีรี่ส์ 7 ที่ดีที่สุด นุ่มนวลในแบบฉบับที่คุณอยากนั่งมากกว่าขับ
ในวันถัดมาเป็นคิวของการได้ทดลองขับ i7 รถยนต์ไฟฟ้า 100% หลังจากที่ก่อนหน้าเราได้ทดลองขับแบบสั้นๆ ในประเทศไทย โดยเป็นรุ่น First Edition ที่ขาดออปชันไป 2 รายการ คือ เบาะนั่งแบบเอนนอนได้ และประตูเปิดอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าเป็นออปชันสำคัญของ i7 ที่ควรจะต้องมีไว้ใช้งานอย่างยิ่ง หลังจากที่เราได้สัมผัสและใช้งานจริง
ภาพรวมการขับขี่ของ i7 แตกต่างจาก ซีรี่ส์7 ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในคือ อัตราเร่ง ที่พุ่งทะยานได้ไวกว่า แรงแบบเนียนๆ ขณะที่ความเงียบภายในห้องโดยสารเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ i7 ทำได้ประทับใจมากกว่า ด้วยต้นเหตุจากการเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เข้ามารบกวน
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป เวลาเร่งแซงหรือกดคันเร่งหนักๆ บีเอ็มดับเบิลยูได้ใช้เสียงสังเคราะห์ ปล่อยผ่านลำโพงภายในห้องโดยสาร เพื่อสร้างอรรถรสในการขับขี่ ด้วยฝีมือของ Hans Zimmer เจ้าของผลงานการประพันธ์เสียงในหนัง Star Wars ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าเสียงในรถ i7 จะมีความคล้ายคลึงกับการขับยานอวกาศ
ช่วงล่างของ i7 ให้ความรู้สึกที่มั่นคงกว่า ซีรี่ส์7 โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าโค้งหรือกดคันเร่งหนักๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลโดยตรงจากการมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่วางไว้ที่พื้นรถ ทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำและสมดุลของตัวรถดีกว่า สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการนั่งทางด้านหลัง เรียกว่าเอาใจกันที่สุด แรงสะเทือนน้อย การทรงตัวดี พร้อมให้หลับได้อย่างสบายตลอดการเดินทาง
อัตราเร่งของ i7 จะมีแป้นพิเศษ Boost อยู่ตรงพวงมาลัย เมื่อคุณกดแล้วตัวรถจะเรียกพละกำลังสูงสุดมาใช้งานเป็นเวลา 10 วินาที เรียกว่า หากต้องการเร่งแซงฉุกเฉิน แค่เพียงกดแป้นนี้คุณจะได้สิทธิ์ในการวาปประหนึ่งซูเปอร์คาร์ทันที แต่บอกไว้ว่า ไม่ควรใช้หากมีผู้โดยสารนั่งทางด้านหลัง เพราะอาจจะหงายหลังจากแรงดึงได้
เหมาะกับใคร
ซีรี่ส์ 7 และ i7 เจเนอเรชันนี้แม้จะถูกสร้างมาเพื่อรองรับทั้งการขับเองก็สนุกและเป็นผู้โดยสารก็นั่งสบาย แต่โดยภาพรวมแล้วโน้มเอียงมาทางการเอาใจผู้โดยสารตอนหลังมากกว่า ซึ่งทำได้ประทับใจเรา ขณะที่อยู่ในระดับที่สูงพอสมควรสำหรับ i7 ส่วนซีรี่ส์ 7 เวอร์ชันขายไทยที่จะเป็นแบบ PHEV นั้นจะเปิดตัวด้วยราคาเท่าไหร่ ไตรมาสแรกรู้กัน สุดท้ายอยากบอกแค่เพียงว่า G70 คือ รถในอนุกรม 7 ที่ดีที่สุดเท่าที่ BMW เคยสร้างมา
ซีรี่ส์ 7 และ i7 ใหม่หมดหัวจรดท้าย
ทั้งซีรี่ส์ 7 และ i7 โฉมใหม่มากับรหัสพัฒนา G70 โดยโครงสร้างตัวถังได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และยกเลิกรุ่นตัวถังความยาวปกติ โดยมีทำตลาดเพียงแค่รุ่นตัวถังยาวเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อเทียบกับรุ่นตัวถังยาวโฉมก่อนหน้า ตัวใหม่รหัส G70 จะมีความยาวมากกว่า 130 มม. กว้างขึ้น 48 มม. และสูงขึ้น 51 มม.
ลักษณะการดีไซน์จะมากับทิศทางใหม่ ไฟหน้าแบบ 2 ชั้น แยกส่วนชัดเจน อันเป็นปรัชญาการดีไซน์ล่าสุดของบีเอ็มดับเบิลยูในการออกแบบรถระดับหรูหราที่สุดของแบรนด์ โดยจะนำมาใช้กับรถในตระกูล 7 และ 8 ทุกรุ่นนับจากนี้ ไฟหน้าด้านบนที่มีขนาดเล็กจะมากับคริสตัลของ ซวารอฟกี้ จำนวน 22 ชิ้น รูปแบบกระจังหน้าจะมี 2 ทางเลือกหลักคือ Pure excellence และ M Sport ซึ่งจะมีความแตกต่างกันพอสมควร
หัวใจในซีรี่ส์ 7 จะมีด้วยกัน 3 ทางเลือกหลักคือ เบนซิน , ดีเซล และปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งรุ่นที่จะทำตลาดในประเทศไทยจะเป็นหัวใจแบบปลั๊กอินไฮบริด ที่ในครั้งนี้ยังไม่มีให้ทดลองขับ โดยรุ่นที่เราขับคือ 760 เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.4 ลิตร กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มาพร้อมกับเทคโนโลยี ไมลด์ไฮบริด แบตเตอรี่แบบ 48 โวลท์
หัวใจสำคัญของโฉมนี้อยู่ที่การออกแบบภายในห้องโดยสารที่ฉีกสไตล์ของบีเอ็มดับเบิลยูออกไปอย่างมาก เน้นความหรูหรา โดยเฉพาะในส่วนของผู้โดยสารตอนหลังถูกเอาใจอย่างมากด้วย จอยาวขนาด 31.3 นิ้ว ที่รองรับความบันเทิงในระดับพรีเมียม ดูยูทูป และ Netflix ได้ มาพร้อมกับระบบควบคุมและสั่งการผ่านหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว เท่าๆ กับโทรศัพท์มือถือติดตั้งที่แผงข้างประตูทั้งซ้ายและขวา เครื่องเสียงเป็น B&W Diamond
ชุดคอนโซลกลางได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด จอและหน้าปัดอยู่รวมในจอยาวชิ้นเดียว มาพร้อมระบบปฏิบัติการชุดใหม่ล่าสุดเวอร์ชัน 8 ที่มีลูกเล่นและรายละเอียดในการสั่งงานที่เยอะมาก โดยเฉพาะในรุ่น i7 ที่มีระบบการสั่งเปิดและปิดประตูพร้อมกันทั้ง 4 บานได้ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบปีกนกสองชั้น โครงสร้างอลูมิเนียมแข็งแรงแต่เบา พร้อมโช้คอัพระบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ ควบคุมด้วยไฟฟ้า ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์แบบ 5 ลิงค์ โครงสร้างอลูมิเนียม พร้อมโช้คอัพระบบถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ ควบคุมด้วยไฟฟ้า ดิสก์เบรก 4 ล้อ ด้านหน้า 4 พอร์ต
ขณะที่ i7 ใช้โครงสร้างตัวถังพื้นฐานเดียวกันกับ ซีรี่ส์ 7 แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของการกระจายน้ำหนัก เพราะ i7 จะมีแบตเตอรี่วางปูเต็มพื้นห้องโดยสาร และมีมอเตอร์ขับเคลื่อนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พละกำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.
แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนขนาดความจุ 105.6 (ใช้ได้จริง101.7) kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 625 กม. ความเร็วในการชาร์จไฟ ด้วยการชาร์จไวแบบ DC รองรับกำลังไฟสูงสุดที่ 195 kW จาก10-80% ใช้เวลา 34 นาที ส่วนการชาร์จปกติแบบ AC รองรับกำลังไฟสูงสุด 22 kW จาก 0-100% ใช้เวลา 5.5 ชั่วโมง
สำหรับ i7 เปิดจำหน่ายในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว มี 2 ทางเลือกคือ i7 xDrive60 M Sport ราคา 7,849,000 บาท และ i7 xDrive60 M Sport Gran Lusso ราคา 8,599,000 บาท ขณะที่รุ่น First Edition นั้นเป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้สำหรับงาน APEC2022 ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทย และมีจำหน่ายจำนวนจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น
แรง เนียน นั่งหลังสบาย
การทดลองขับทีมงานบีเอ็มดับเบิลยูของสำนักงานใหญ่ จัดเส้นทางให้เลือกได้ 4 รูปแบบ แต่ละเส้นทางนั้นยาวระดับ 150-200 กม. โดยวันแรกเราเริ่มต้นด้วยซีรี่ส์ 7 ในรุ่น 760i xDrive ความรู้สึกแรกเมื่อได้สัมผัสคือ ความเงียบภายในห้องโดยสาร ยิ่งเมื่อเทียบกับการยืนนอกรถแล้วฟังเสียงของเครื่องยนต์กับความดังของเสียงหลังปิดประตูเข้ามาอยู่ในห้องโดยสารจะพบความแตกต่างที่ชัดเจนมาก
อุปกรณ์การใช้งานต่างๆ ใส่ลูกเล่นมาให้ใหม่อย่างชนิดที่เรียนการใช้งานกันเป็นชั่วโมงก็ยังใช้ไม่หมด ด้านหน้าเป็นจอขนาดยาว ดูง่ายสบายตา ฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ไม่ซับซ้อน ช่องแอร์ดีไซน์ซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่หน้าจอด้านหลัง Theater Screen สำหรับผู้โดยสารที่มีขนาดใหญ่ 31.3 นิ้ว
หน้าจอที่อลังการ สอดรับกับเบาะนั่งที่ปรับให้เอนนอนได้สะดวก เรียกว่าเป็นความสบายระดับเฟิร์สคลาส ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ซีรี่ส์ 7 จัดเต็มมากกว่า เอส-คลาสที่เป็นคู่แข่งโดยตรง โดยจอใหญ่และยาวชุดนี้ดูง่าย สั่งการเปิด-พับผ่านจอเล็กๆ ที่แผงข้างประตู จะมีจุดที่เป็นห่วงคือ เมื่อพับจอลงมา ตัวจอจะบังกระจกมองหลัง จำเป็นที่ผู้ขับขี่จะต้องใช้กระจกมองข้างแทนในการดูรถทางด้านหลัง (ไม่มีกล้องหรือจอถ่ายทอดภาพมาให้ที่กระจกมองหลัง)
ด้านการขับขี่ อัตราเร่งกำลังดีสมกับการเป็นเครื่องยนต์ใหญ่ แม้ตัวรถจะมีน้ำหนักในระดับ 2 ตันกว่า แต่ความสนุกสนานในการขับขี่ยังคงสไตล์ที่ถูกใจเหล่าบิมเมอร์เอาไว้ได้เหมือนเช่นเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาเป็นพิเศษกว่าโฉมก่อนหน้าคือ ระบบช่วงล่างที่เน้นเอาใจผู้โดยสารทางด้านหลังอย่างไม่เคยพบมาก่อนในซีรีส์7
เริ่มกันที่ตัวเบาะนั่งออกแบบใหม่ ในชื่อ Executive Lounge สามารถปรับเอนนอนได้ ตัวเบาะมีความนุ่ม ผิวสัมผัสเนียนมือ มีหมอนรองคอที่ช่วยพอดี ความรู้สึกในการนั่งทางด้านหลังขณะขับขี่ เป็นความนุ่มนวล และนิ่งเงียบในแบบกำลังสบายพอดี เสียงรบกวนน้อยมาก เรียกว่าบรรยากาศประหนึ่งนั่งดูโซฟาอยู่ในบ้านตัวเองได้
ระบบช่วงล่างที่ปรับมาใหม่ ทั้งซีรี่ส์ 7 และ i7 กับการขับขี่และนั่งทางด้านหลังนั้น ไม่แตกต่างกันมากนัก จะมีเพียงเรื่องของเสียงเครื่องยนต์กับการทรงตัวที่ความเร็วสูงมาก ที่จะเห็นความแตกต่างได้ แต่หากขับในระดับปกติไม่เกิน 140 กม./ชม. รับประกันเรื่องความสบายอย่างที่คุณจะไม่เคยได้สัมผัสจากซีรี่ส์ 7 โฉมอื่นๆ เรียกว่าเป็น ซีรี่ส์ 7 ที่ดีที่สุด นุ่มนวลในแบบฉบับที่คุณอยากนั่งมากกว่าขับ
ในวันถัดมาเป็นคิวของการได้ทดลองขับ i7 รถยนต์ไฟฟ้า 100% หลังจากที่ก่อนหน้าเราได้ทดลองขับแบบสั้นๆ ในประเทศไทย โดยเป็นรุ่น First Edition ที่ขาดออปชันไป 2 รายการ คือ เบาะนั่งแบบเอนนอนได้ และประตูเปิดอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าเป็นออปชันสำคัญของ i7 ที่ควรจะต้องมีไว้ใช้งานอย่างยิ่ง หลังจากที่เราได้สัมผัสและใช้งานจริง
ภาพรวมการขับขี่ของ i7 แตกต่างจาก ซีรี่ส์7 ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในคือ อัตราเร่ง ที่พุ่งทะยานได้ไวกว่า แรงแบบเนียนๆ ขณะที่ความเงียบภายในห้องโดยสารเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ i7 ทำได้ประทับใจมากกว่า ด้วยต้นเหตุจากการเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เข้ามารบกวน
อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป เวลาเร่งแซงหรือกดคันเร่งหนักๆ บีเอ็มดับเบิลยูได้ใช้เสียงสังเคราะห์ ปล่อยผ่านลำโพงภายในห้องโดยสาร เพื่อสร้างอรรถรสในการขับขี่ ด้วยฝีมือของ Hans Zimmer เจ้าของผลงานการประพันธ์เสียงในหนัง Star Wars ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าเสียงในรถ i7 จะมีความคล้ายคลึงกับการขับยานอวกาศ
ช่วงล่างของ i7 ให้ความรู้สึกที่มั่นคงกว่า ซีรี่ส์7 โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าโค้งหรือกดคันเร่งหนักๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลโดยตรงจากการมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่วางไว้ที่พื้นรถ ทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำและสมดุลของตัวรถดีกว่า สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการนั่งทางด้านหลัง เรียกว่าเอาใจกันที่สุด แรงสะเทือนน้อย การทรงตัวดี พร้อมให้หลับได้อย่างสบายตลอดการเดินทาง
อัตราเร่งของ i7 จะมีแป้นพิเศษ Boost อยู่ตรงพวงมาลัย เมื่อคุณกดแล้วตัวรถจะเรียกพละกำลังสูงสุดมาใช้งานเป็นเวลา 10 วินาที เรียกว่า หากต้องการเร่งแซงฉุกเฉิน แค่เพียงกดแป้นนี้คุณจะได้สิทธิ์ในการวาปประหนึ่งซูเปอร์คาร์ทันที แต่บอกไว้ว่า ไม่ควรใช้หากมีผู้โดยสารนั่งทางด้านหลัง เพราะอาจจะหงายหลังจากแรงดึงได้
เหมาะกับใคร
ซีรี่ส์ 7 และ i7 เจเนอเรชันนี้แม้จะถูกสร้างมาเพื่อรองรับทั้งการขับเองก็สนุกและเป็นผู้โดยสารก็นั่งสบาย แต่โดยภาพรวมแล้วโน้มเอียงมาทางการเอาใจผู้โดยสารตอนหลังมากกว่า ซึ่งทำได้ประทับใจเรา ขณะที่อยู่ในระดับที่สูงพอสมควรสำหรับ i7 ส่วนซีรี่ส์ 7 เวอร์ชันขายไทยที่จะเป็นแบบ PHEV นั้นจะเปิดตัวด้วยราคาเท่าไหร่ ไตรมาสแรกรู้กัน สุดท้ายอยากบอกแค่เพียงว่า G70 คือ รถในอนุกรม 7 ที่ดีที่สุดเท่าที่ BMW เคยสร้างมา