เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว เอ-คลาส โฉมเฟซลิฟต์พร้อมกันทั้งตัวถังแบบซาลูนและแฮตช์แบ็กในเยอรมนี พร้อมส่งตัวแรงตระกูลเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ทั้ง “A 35 4MATIC” ที่มีให้เลือกทั้งรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู รวมถึง “A 45 S 4MATIC+” ในรุ่นตัวถัง 5 ประตู
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส ใหม่ มีการปรับดีไซน์ภายนอกเพิ่มความสดใหม่ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่ถูกตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ดาวสามแฉก พร้อมไฟหน้าที่สามารถเลือกออปชันเป็นแบบแอลอีดีได้ ขณะที่ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่สามารถเลือกขนาดใหญ่สุดได้ถึง 19 นิ้ว ติดตั้งไฟท้ายแบบแอลอีดีดีไซน์ใหม่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมกันชนท้ายที่ถูกออกแบบใหม่เช่นกัน รวมถึงสามารถเลือกสีตัวถังได้ทั้งแบบเมทัลลิก หรือสีพิเศษแบบ MANUFAKTUR ได้
ภายในห้องโดยสารถูกติดตั้งหน้าจอคู่ที่ประกอบด้วยจอขนาด 7 นิ้ว และ 10.25 นิ้วเป็นมาตรฐาน และสามารถเลือกออปชันเป็นหน้าจอขนาด 10.25 นิ้วทั้งสองจอได้ ตกแต่งช่องแอร์ด้วยรูปทรงคล้ายเครื่องยนต์ไอพ่นของเครื่องบิน พร้อมพวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa ดีไซน์ใหม่ที่มีรูปลักษณ์เข้ากันกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน ขณะที่เบาะนั่งสามารถเลือกได้ทั้งวัสดุหนัง ARTICO หรือ ARTICO / MICROCUT ได้
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาส ยังมีการปรับปรุงระบบเทเลเมติกส์บนระบบปฏิบัติการ MBUX ด้วยการเพิ่มเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือเพื่อใช้ในการระบุผู้ขับขี่ สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้แบบไร้สาย รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me App และระบบสั่งงานด้วยเสียงที่สามารถใช้งานบางฟังก์ชันโดยไม่ต้องเริ่มต้นคำสั่งว่า “Hey Mercedes” อีกต่อไป
ด้านขุมพลังของ เอ-คลาส ใหม่ ที่วางจำหน่ายในตลาดยุโรปมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรุ่น A 250 e ที่ถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินปลั๊กอินไฮบริด 1.3 ลิตร สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าได้สูงสุดราว 82 กิโลเมตร และยังคงมีเครื่องยนต์สันดาปล้วนในรุ่น A 180 และ A 200 ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และ 163 แรงม้าตามลำดับ รวมถึงรุ่น A 220 4MATIC และ A 250 4MATIC ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า และ 224 แรงม้า
ขณะที่ฝั่งดีเซลมีให้เลือกทั้งรหัส A 180 d, A 200 d และ A 220 d ทั้งหมดถูกติดตั้งขุมพลังดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร (1,950 ซีซี) ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 116 แรงม้า, 150 แรงม้า และ 190 แรงม้าตามลำดับ และมีแรงบิดสูงสุดตั้งแต่ 280 นิวตัน-เมตร ไปจนถึง 400 นิวตัน-เมตร
ส่วนเวอร์ชัน เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี มีให้เลือกทั้งรหัส A 35 4MATIC ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร พร้อมมอเตอร์ไมลด์ไฮบริด (RSG) 48 โวลต์ ส่งกำลังด้วยเกียร์ AMG SPEEDSHIFT DCT 8 สปีด สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.8 วินาที และรหัส A45 S 4MATIC+ ที่รีดกำลังสูงสุดเพิ่มเป็น 421 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เหลือเพียง 3.9 วินาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ ในรุ่น A 45 S 4MATIC+ ยังสามารถเลือกตกแต่งด้วยแพ็กเกจ AMG Street Style Edition ที่มาพร้อมตัวถังสีเทา Mountain Grey Magno ตกแต่งด้วยชิ้นส่วนสีส้ม พร้อมชุดแต่ง Aerodynamics Package และล้อสีดำด้านขนาด 19 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะที่ห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่ง AMG Performance หุ้มวัสดุไมโครไฟเบอร์ MICROCUT ตกแต่งด้วยตะเข็บสีส้ม รวมถึงพวงมาลัย AMG Performance หุ้มหนังสลับ MICROCUT ตกแต่งด้วยตะเข็บสีส้มเช่นเดียวกัน