จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) อย่างรุนแรงในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บี-ควิก ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวไม่ต่างจากธุรกิจอื่น แต่ ก็สามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริหาร และพนักงานทุกคน ที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) อย่างเคร่งครัด ทุกคนพร้อมที่จะปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนไปจากเดิม เพื่อให้บริษัทสามารถที่จะดำเนินไปได้ในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยในช่วงเวลาดังกล่าว บี-ควิก ไม่ได้มีการลดเงินเดือนพนักงาน หรือแม้แต่ลดจำนวนพนักงานลง ในทางกลับกัน ยังคงลงทุนขยายสาขาอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด บี-ควิก จึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาดศูนย์บริการรถยนต์แบบครบวงจร และในปี 2565 นี้ ย่างก้าวใหม่ของ บี-ควิก คือการเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ต อย่างเต็มตัว ด้วยการเป็นผู้สนับสนุนหลักของรายการแข่งขันรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อย่าง Thailand Super Series โดยใช้ชื่อรายการแข่งขันว่า “B-Quik Thailand Super Series”
เฮงก์ โจฮัน คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด กล่าวว่า “การเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของรายการ Thailand Super Series นั้น ต้องย้อนไปก่อนว่า บี-ควิก เองได้คลุกคลีในวงการ Motorsport มามากกว่า 8 ปีแล้ว โดยส่งนักขับลงแข่งขันภายใต้ชื่อทีม B-Quik Racing ซึ่งช่างที่ให้บริการรถในทีม รวมไปถึงนักขับในทีม ล้วนแล้วแต่เป็นพนักงานของ บี-ควิก ทั้งหมด วันธรรมดาทุกคนจะทำงานอยู่ที่สาขาที่ตนเองประจำอยู่ แต่เมื่อถึงฤดูกาลเปิดสนามแข่งขัน พนักงานเหล่านี้ก็จะมารวมตัวกันเพื่อคว้าชัยชนะในสนามให้กับทีม B-Quik Racing ซึ่งการเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักในรายการแข่งขันนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า บี-ควิก ต้องการที่จะพัฒนาทักษะของพนักงาน ให้มีความชำนาญในเรื่องของการซ่อมให้มากยิ่งขึ้น การที่รถแข่ง 1 คัน จะลงเข้าแข่งขันในสนามนั้น ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย ที่ต้องใช้ในเรื่องของ ความแม่นยำ ทักษะที่ชำนาญ ในการเนรมิตรถแข่งให้มีศักยภาพในการลงแข่งขันและคว้าชัยชนะมาให้ได้ ซึ่งทักษะต่างๆ เหล่านี้ หากพนักงานของเราได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกฝน ก็จะช่วยพัฒนาในเรื่องของความชำนาญ และความแม่นยำ เพื่อนำกลับไปใช้ในการบริการลูกค้าที่สาขาได้เป็นอย่างดี”
สำหรับในช่วงปี 2565 นี้ บี-ควิก ได้มีการลงทุนในระบบต่างๆ มากมาย เพื่อพัฒนาการบริการให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล และให้เป็นมิตรกับผู้บริโภคมากที่สุด โปรแกรมหลักที่ บี-ควิก มีการลงทุน คือ โปรแกรมการจัดเก็บข้อมูลและใช้ข้อมูลในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า พร้อมทั้งมีระบบการสมัครสมาชิก ที่มีชื่อว่า “B-Member” ซึ่งเป็นโปรแกรมในการสะสมคะแนนจากยอดใช้จ่าย โดยสามารถนำเอาคะแนนนั้นมาแลกรับสิทธิประโยชน์ จาก บี-ควิก และพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ อีกมากมาย รวมไปถึงได้มีการลงทุนพัฒนาระบบ Software ที่ใช้ในการทำงานหลักภายในสาขา เพื่อให้พนักงานสามารถที่จะทำงานได้ง่ายขึ้น และสามารถที่จะเชื่อมต่อกับระบบ B-Member นี้ได้ โดย บี-ควิก ได้มองในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ในการทำธุรกิจด้วยเช่นกัน หาก Software นี้เสร็จสมบูรณ์ จะทำให้ช่วยลดในเรื่องของการใช้กระดาษได้มากขึ้นอีกกว่า 50% พนักงานไม่จำเป็นต้องพิมพ์เอกสารออกมาเพื่อให้ลูกค้าอ่านรายละเอียด พนักงานสามารถเสนอขายสินค้าผ่าน Tablet โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษอีกต่อไป รวมไปถึงขั้นตอนการอนุมัติของลูกค้า การเบิกสินค้า การปิดการขายในระบบ สามารถทำได้ผ่าน Software นี้เป็นหลัก นอกจากจะเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการให้กับลูกค้าอีกด้วย
ในแง่ของพนักงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำงานในธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ บี-ควิก ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานเป็นอย่างมาก เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานและให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยบี-ควิก ได้มีการลงทุนสร้าง Training Center ศูนย์ฝึกอบรมที่เราได้พัฒนาหลักสูตรให้เหมาะกับธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ และได้มีการนำเอาระบบ e-Learning เข้ามาร่วมใช้ในการฝึกอบรมพนักงานด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้พนักงาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถที่จะอบรม หรือเข้าถึงบทเรียนของแต่ละคนได้ โดย บี-ควิก มีการพัฒนาหลักสูตรการอบรมให้กับพนักงานอยู่ตลอดทั้งปี
ด้านของการจัดกิจกรรมทางการตลาดนั้น บี-ควิก ยังคงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดงานเปิดสาขาใหม่ (Grand Opening) ด้วยโปรโมชั่นที่คุ้มค่า หรือแม้กระทั่งการจัดงาน B-Quik Expo ที่ได้กลายเป็นงานประจำปีของ บี-ควิก ที่ลูกค้าหลายๆ ท่านรอคอย และสอบถามเข้ามาตลอดเวลา รวมถึงโปรโมชั่นประจำเดือน ที่ บี-ควิก ได้จัดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ด้านการขยายสาขา บี-ควิก ยังคงลงทุนในการขยายสาขาใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่กำลังดำเนินการขยายสาขาที่ 3 เพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งในประเทศอินโดนีเซีย ก็มีการขยายสาขาอยู่อย่างต่อเนื่อง สำหรับในประเทศไทยเอง บี-ควิก คาดว่าจะมีสาขาครบ 200 สาขาภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 นี้