บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ - ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% “MG EP” รถสไตล์สเตชันแวกอน มากับแนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” ชูจุดเด่นวิ่งไกลสุด 380 กม. จากแบตเตอรี่ 50.3 kWh กำลังสูงสุด 163 แรงม้า เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมราคา 988,000 บาท ที่งาน Motor Expo 2020 ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอ็มจี มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำยานยนต์แห่งอนาคต หรือ New Generation of Automotive เอ็มจีจึงมีแผนจะแนะนำ NEW MG EP รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ มาพร้อมแนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” โดยเราวางตำแหน่งให้ NEW MG EP เป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” สู่บรรทัดฐานใหม่ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
รถสไตล์ Station Wagon ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ของเอ็มจี ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันแรกของทุกคน ออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ที่ให้ทั้งสมรรถนะ (PERFORMANCE) การควบคุม (HANDLING) การออกแบบ (DESIGN) และความปลอดภัย (SAFETY) พร้อมสำหรับทุกรูปแบบการใช้งาน ขับเคลื่อนได้ไกล ประหยัดได้มากกว่า มีต้นทุนการบำรุงรักษา และต้นทุนการเป็นเจ้าของ (COST OF OWNERSHIP) ที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
NEW MG EP มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ Suspended Wing Grille ที่ตกแต่งด้วยโครเมียมและ Piano Black ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน LED Daytime Running Light พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED ล้ออัลลอยด์ดีไซน์แบบสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
การตกแต่งภายในด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม (Soft Touch) ดีไซน์เส้นสายแบบ CARBOXNYXE แสดงให้เห็นถึงความประณีตในทุกรายละเอียด เบาะคู่หน้าออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Anti-Curved Surface Design) ซึ่งโอบรับกับเส้นสายสรีระได้เป็นอย่างดี นั่งสบายตลอดเส้นทาง อีกทั้งยังมีฟังก์ชันอำนวยความสะดวก อาทิ หน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอล (Digital Multi-Function Display) ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลได้อย่างสวยงามและชัดเจน พร้อมระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล กระจกมองหลังตัดแสง กระจกไฟฟ้าแบบ One Touch Up-Down ด้านคนขับ ที่จะทำให้การใช้งาน มีความง่ายมากยิ่งขึ้น
พื้นที่ห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง เพื่อสามารถรองรับการใช้งานในจุดประสงค์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ โดยเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ทำให้มีพื้นที่ความจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,456 ลิตร
ระบบความปลอดภัยครบครันตามมาตรฐาน เช่น ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก EBA, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB, ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), จุดยึดเบาะ ISOFIX เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า กล้องมองหลังพร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
หัวใจในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 8.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport ระบบกันสะเทือนของช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension เสริมด้วยระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีม
ขณะที่แบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุรวมถึง 50.3 kWh ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ระยะทางไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐานความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle - NEDC) นอกจากนี้ยังผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น ระดับ IP67 พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System ที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ภายใต้สภาวะต่างๆ
การชาร์จไฟฟ้าทำได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 โดยชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ด้วย KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ
ด้านการบำรุงดูแลรักษาง่าย และมีค่าใช้จ่ายต่ำ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ได้จากการชาร์จผ่าน MG Home Charger ง่ายๆที่บ้าน โดยสามารถชาร์จจาก 0%-100% และมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 200 บาท*ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน จะมีค่าใช้จ่ายรวมไม่เกิน 8,000 บาท อีกทั้งการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในระยะยาว MG ยังนำเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module มาใช้ ในกรณีหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษานั้น สามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module นั้นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้
สำหรับราคาจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ ที่ 988,000 บาท งาน Motor Expo 2020 ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้
*อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 3.96 บาทต่อหน่วย ไม่รวมค่า FT และภาษีมูลค่าเพิ่ม อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2563
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอ็มจี มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำยานยนต์แห่งอนาคต หรือ New Generation of Automotive เอ็มจีจึงมีแผนจะแนะนำ NEW MG EP รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ มาพร้อมแนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” โดยเราวางตำแหน่งให้ NEW MG EP เป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” สู่บรรทัดฐานใหม่ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
รถสไตล์ Station Wagon ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ของเอ็มจี ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันแรกของทุกคน ออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ที่ให้ทั้งสมรรถนะ (PERFORMANCE) การควบคุม (HANDLING) การออกแบบ (DESIGN) และความปลอดภัย (SAFETY) พร้อมสำหรับทุกรูปแบบการใช้งาน ขับเคลื่อนได้ไกล ประหยัดได้มากกว่า มีต้นทุนการบำรุงรักษา และต้นทุนการเป็นเจ้าของ (COST OF OWNERSHIP) ที่คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
NEW MG EP มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ Suspended Wing Grille ที่ตกแต่งด้วยโครเมียมและ Piano Black ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน LED Daytime Running Light พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED ล้ออัลลอยด์ดีไซน์แบบสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
การตกแต่งภายในด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม (Soft Touch) ดีไซน์เส้นสายแบบ CARBOXNYXE แสดงให้เห็นถึงความประณีตในทุกรายละเอียด เบาะคู่หน้าออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Anti-Curved Surface Design) ซึ่งโอบรับกับเส้นสายสรีระได้เป็นอย่างดี นั่งสบายตลอดเส้นทาง อีกทั้งยังมีฟังก์ชันอำนวยความสะดวก อาทิ หน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอล (Digital Multi-Function Display) ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลได้อย่างสวยงามและชัดเจน พร้อมระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล กระจกมองหลังตัดแสง กระจกไฟฟ้าแบบ One Touch Up-Down ด้านคนขับ ที่จะทำให้การใช้งาน มีความง่ายมากยิ่งขึ้น
พื้นที่ห้องโดยสารและพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง เพื่อสามารถรองรับการใช้งานในจุดประสงค์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ โดยเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ทำให้มีพื้นที่ความจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,456 ลิตร
ระบบความปลอดภัยครบครันตามมาตรฐาน เช่น ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก EBA, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB, ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), จุดยึดเบาะ ISOFIX เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า กล้องมองหลังพร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
หัวใจในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 8.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport ระบบกันสะเทือนของช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension เสริมด้วยระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีม
ขณะที่แบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุรวมถึง 50.3 kWh ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้ระยะทางไกลถึง 380 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐานความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle - NEDC) นอกจากนี้ยังผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น ระดับ IP67 พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System ที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ภายใต้สภาวะต่างๆ
การชาร์จไฟฟ้าทำได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 โดยชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งระยะเวลาในการชาร์จนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ด้วย KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ
ด้านการบำรุงดูแลรักษาง่าย และมีค่าใช้จ่ายต่ำ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ได้จากการชาร์จผ่าน MG Home Charger ง่ายๆที่บ้าน โดยสามารถชาร์จจาก 0%-100% และมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 200 บาท*ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน จะมีค่าใช้จ่ายรวมไม่เกิน 8,000 บาท อีกทั้งการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในระยะยาว MG ยังนำเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module มาใช้ ในกรณีหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษานั้น สามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module นั้นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้
สำหรับราคาจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการ ที่ 988,000 บาท งาน Motor Expo 2020 ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้
*อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 3.96 บาทต่อหน่วย ไม่รวมค่า FT และภาษีมูลค่าเพิ่ม อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2563