นิสสัน ปรับโฉม “นาวารา” ใหม่ พร้อมกับการเปิดตัวแบบออนไลน์ทั่วโลกในเวลาเดียวกันเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาก่อนที่ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศแรกที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 และอีกเพียง 2 วันต่อมาเราได้มีโอกาสทดลองขับแบบสั้นๆ ในพื้นทีจำลองแน่นอนว่า อาจจะดูเหมือนได้ขับไม่มาก แต่เพียงพอต่อการนำเสนอ เพราะเราได้ขับครบทุกอย่างตามที่ต้องการ
14 รุ่นย่อย หัวใจใหม่แรงกว่าเดิม
สำหรับการปรับโฉมในคราวนี้ขอเรียกว่าเป็น Big Minorchange คือมีการเปลี่ยนแปลงที่มาก เริ่มด้วยการปรับไลน์อัพการขายใหม่ทั้งหมด โดยในตัวถัง 4 ประตูและแค็บเปิดได้นั้นมีรุ่นให้เลือก 14 รุ่นย่อย ซึ่งจะมีรุ่นเพิ่มเข้ามาและราคานั้นมีทั้งปรับเพิ่มขึ้นและปรับลดลง หากให้ลงรายละเอียดคงไม่มีพื้นที่มากเพียงพอ ดังนั้นจึงขอกล่าวเพียงเท่านี้ก่อน
สำหรับรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงขอสรุปแบบกระชับ นาวารา จะปรับเหลือ 3 ทางเลือกเครื่องยนต์ โดยมีเครื่องยนต์ใหม่ ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร โดยจะอยู่ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดเท่านั้น , ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 403 นิวตันเมตร จะจับคู่กับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ในทุกตัวถังแบบขับสองยกสูงและขับเคลื่อนสี่ล้อ
ขณะที่ทางเลือกสุดท้าย 2.5 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 403 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สำหรับรุ่นตัวถังเตี้ย แบบแค็บเปิดได้
การออกแบบภายนอกนั้นปรับกระจังหน้าใหม่ ดีไซน์ตามแนวทางของรุ่น ไททัน ที่อเมริกา ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ Quad LED ดวงไฟสี่ดวงพร้อมไฟDaytime Running Light ดูดุดันมากขึ้น ด้านท้ายมีการปรับโคมไฟใหม่พร้อมเสริมด้วยกันชนท้ายที่เป็นบันไดช่วยให้เหยียบขึ้นกระบะท้ายได้ง่ายกว่าเดิม
สำหรับภายในนั้นมีการเปลี่ยนดีไซน์หลายรายการ ทั้งพวงมาลัย หันมาเลือกใช้แบบ 3 ก้าน ดูสปอร์ต, หน้าปัดมากับจอแสดงผลแบบใหม่, หน้าจอกลางขนาด 8 นิ้วใหม่รองรับระบบ Nissan Connect ที่สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และAndroid Auto ได้ กระจกบานหน้าเป็นแบบลดเสียงรบกวนจากภายนอก ขณะที่เบาะนั่งปรับไฟฟ้ามีในรุ่นVL แต่เสียดายไม่มีในรุ่น Pro4Xที่ถือว่าเป็นรุ่นท็อปสุด
ด้านระบบความปลอดภัยใส่มาให้อย่างครบถ้วน เช่น กล้องมองภาพรอบทิศทาง , ระบบเตือนมุมอับสายตา ระบบเบรกฉุกเฉิน รวมถึงระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่าง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันการลื่นไถล เป็นต้น
นุ่มขึ้น แรงถึงใจกว่า
อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่า การลองขับเป็นพื้นที่ปิดรอบสั้นๆ โดยจำลองสถานีแบบออฟโรดมาให้อย่างครบครัน เริ่มด้วย เนินเอียง 30 องศา, เนินเอียงแบบโค้งไต่ระดับ, ลุยน้ำลึก 60 กว่าซม., เนินสลับ, ทางขรุขระ, ไต่เนินสูงชัน 46 องศา และจบท้ายด้วยการขับลุยแอ่งน้ำแบบเต็มสปีด
ซึ่งการลองขับอาจจะดูเหมือนสั้นๆ แต่อุปสรรคถือว่ายากอยู่และทีมงานให้เราลองขับได้ทุกรุ่น กี่รอบก็ได้ ดังนั้นเราจึงขับแบบครบทุกรุ่นอย่างที่ต้องการโดยเริ่มต้นด้วยการขับในรุ่น King cab ขับสอง เกียร์อัตโนมัติ ที่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับลุยจุดทดสอบแบบออฟโรด แม้ว่าจะไปได้แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และทีมงาน
ผลลัพธ์คือ เรารู้สึกถึงการตอบสนองที่ทันใจมีแรงดึงเบาๆ ให้รู้สึกไดเมื่อกดคันเร่งแบบคิกดาวน์เต็มเท้า ช่วงล่างนุ่มขึ้นกว่าตัวเดิมเป็นไปตามที่วิศวกรได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า มีการปรับช่วงล่างใหม่ทั้งหมด การขับลุยน้ำลึก60 กว่าซม. ไร้ปัญหาใดๆ ขับผ่านได้สบาย เรียกว่าพละกำลัง 163 แรงม้ากับเกียร์ออโต้นั้นเพียงพอใช้งาน
จากนั้นลองขับรุ่นKing cab ขับสอง ตัวเตี้ย เกียร์ธรรมดา สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ คลัทช์นุ่มมาก และค่อนข้างสูง เวลาปล่อยต้องยกเท้าให้สุด ข้อดีคือช่วยให้ขับขี่ง่าย แต่คนที่ใช้งานเกียร์ธรรมดาประจำอาจจะบ่นบ้าง คงไม่เป็นไร อัตรเร่งขับสนุกว่าเกียร์อัตโนมัติ ตอบสนองทันใจ แรงบิดดีใช้งานผ่านอุปสรรคแบบwalking speed ได้ง่ายๆ เหมาะกับมือใหม่หัดขับเป็นอย่างดี จะมีที่ผู้เขียนไม่ชอบคือ รัศมีการเลี้ยวของพวงมาลัยที่แม้วิศวกรบอกว่าปรับใหม่แล้ว แต่ยังรู้สึกว่ากว้างไปหน่อย
ถัดมาไปลองกันที่รุ่น 4 ประตู ขับสี่VL ตัวท็อปเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งรอบนี้จะได้ลุยทุกจุดของสนาม การลองกดคันเร่งออกตัวแบบรุนเรง ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างด้านอัตราเร่งเมื่อเทียบกับรุ่น King Cab แต่สิ่งที่แตกต่างแบบรู้สึกไดคือ ช่วงล่าง นุ่มกว่าแบบชัดเจน ดูดซับแรงสะเทือนจากผิวขรุขระได้ดีกว่า ส่วนการไต่เนินเอียงและเนินสูงทำได้แบบผ่านฉลุย ไม่ต้องกังวลแต่ประการใด
โมเดลที่สี่ที่ต้องลองในคราวนี้คือ Pro4X ตัวท็อปสุดของไลน์อัพในคราวนี้ และเพื่อไม่ให้เสียศักดิ์ศรีของตัวท้อป เราจัดหนัก อัตราเร่งสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่มากกว่าเมื่อคิกดาวน์ตอนออกตัว ช่วงล่างมาในแนวนุ่มนวล และเมื่อมาถึงการไต่เนินเอียงแบบโค้ง รอบนี้เราปีนขึ้นไปสูงตามการโบกของทีมงาน
เนินโค้งรอบนี้ยิ่งไต่ยิ่งสูง จนขณะขับนั้นรู้สึกว่าสูงเกินไปแล้ว ตัวรถเริ่มเอียงจนรู้สึกเหมือนว่าจะคว่ำ ทำให้เราต้องฝืนการโบกของทีมงานประคองพวงมาลัยให้ตัวรถนั้นไม่เอียงไปมากกว่านี้ เพราะมิฉะนั้นอาจจะคว่ำได้ และเมื่อขับมาจนสุดแนวโค้ง เราไต่ลงไปโดยด้านท้ายของรถไปกระแทกกับกรวยยางที่ตั้งกั้นแนวสุดทางเอาไว้
ผ่านพ้นอุปสรรคนี้มาได้แบบหวาดเสียวที่สุดในชีวิต รอบอื่นขับไม่เอียงเท่ารอบนี้ และเมื่อทีมงานพาผู้ขับมาดูแนวการไต่ของล้อ พบว่า สูงกว่าแนวเส้นสีแดงที่ขีดเอาไว้ให้ไต่ถึงกว่า 30 ซม. จึงทำให้รถเอียงมากกว่าปกติ เรียกว่า เป็นการขับในระดับที่แตะถึงขีดสุดความสามารถของตัวรถ หากเกินกว่านี้อาจจะคว่ำแล้วก็เป็นได้ แสดงให้เห็นว่า เจ้านาวารา Pro4Xนั้นมีการออกแบบทางวิศกรรมและมีคุณภาพที่ดีมากพอในการลุยอุปสรรคยากๆ เช่นนี้
หลังจากนั้นเป็นการขับตามสถานีต่างๆ ซึ่งบอกได้เลยว่า ลุยผ่านได้เหมือนกินขนมหวาน ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด โดยเฉพาะตรงพื้นผิวขรุขระ เรารู้สึกว่า Pro4X นั้นมีแรงสะเทือนมาถึงผู้ขับน้อยกว่ารุ่นVL ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากล้อและยางที่เลือกใช้ขนาด 17 นิ้ว ซึ่งเล็กว่ารุ่น VL ที่เป็นขนาด 18 นิ้ว
สุดท้ายของการทดลองขับในวันนี้ เราขอทีมงานนิสสันเป็นพิเศษอยากลองขับเหมือนที่ทีมงานขับโชว์ในวันเปิดตัว ซึ่งได้รับอนุญาตและเราเลือกใช้ Pro4X ในการลุยทำโดนัททางฝุ่น มีการปิดระบบความปลอดภัยทั้งหมด และปรับโหมดเป็นขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเท่านั้น
กว่าสิบรอบที่เราขับในรูปแบบโดนัท สิ่งที่ได้คือ ฝุ่นฟุ้งกระจายพร้อมความสนุกสนาน ตัวรถมีพลังแรงเพียงพอในการสร้างโดนัทได้อย่างง่ายดาย พวงมาลัยควบคุมแม่นยำ เบรกเอาอยู่ ช่วงล่างรับแรงกระแทกได้ดี การขับให้รถหลุดเหมือนเสียการทรงตัวแต่ยังควบคุมได้นั้น คือสิ่งที่สำคัญที่บ่งชี้ว่ารถแรงและมีพื้นฐานทางวิศกรรมที่ดีพอ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า แรงแล้วลงไปนอนอยู่ข้างถนน แบบนั้นคงไม่ดีแน่นอน
ถึงบรรทัดนี้ กล่าวโดยสรุปนิสสัน นาวารา รุ่นปรับโฉมใหม่ มิใช่ปรับเพียงแค่หน้าตาหรือเสริมออพชัน แต่ยังปรับไปถึงหัวใจในการขับขี่ที่เรากล้าใช้คำว่า “ยกระดับสมรรถนะการขับขี่” มาอยู่ในชั้น Tier1 ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เหลือเพียงการลองขับแบบทางยาวๆ และใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เท่านั้นว่าให้ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
14 รุ่นย่อย หัวใจใหม่แรงกว่าเดิม
สำหรับการปรับโฉมในคราวนี้ขอเรียกว่าเป็น Big Minorchange คือมีการเปลี่ยนแปลงที่มาก เริ่มด้วยการปรับไลน์อัพการขายใหม่ทั้งหมด โดยในตัวถัง 4 ประตูและแค็บเปิดได้นั้นมีรุ่นให้เลือก 14 รุ่นย่อย ซึ่งจะมีรุ่นเพิ่มเข้ามาและราคานั้นมีทั้งปรับเพิ่มขึ้นและปรับลดลง หากให้ลงรายละเอียดคงไม่มีพื้นที่มากเพียงพอ ดังนั้นจึงขอกล่าวเพียงเท่านี้ก่อน
สำหรับรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงขอสรุปแบบกระชับ นาวารา จะปรับเหลือ 3 ทางเลือกเครื่องยนต์ โดยมีเครื่องยนต์ใหม่ ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร โดยจะอยู่ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดเท่านั้น , ดีเซลขนาด 2.3 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 403 นิวตันเมตร จะจับคู่กับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ในทุกตัวถังแบบขับสองยกสูงและขับเคลื่อนสี่ล้อ
ขณะที่ทางเลือกสุดท้าย 2.5 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 403 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สำหรับรุ่นตัวถังเตี้ย แบบแค็บเปิดได้
การออกแบบภายนอกนั้นปรับกระจังหน้าใหม่ ดีไซน์ตามแนวทางของรุ่น ไททัน ที่อเมริกา ส่วนไฟหน้าเป็นแบบ Quad LED ดวงไฟสี่ดวงพร้อมไฟDaytime Running Light ดูดุดันมากขึ้น ด้านท้ายมีการปรับโคมไฟใหม่พร้อมเสริมด้วยกันชนท้ายที่เป็นบันไดช่วยให้เหยียบขึ้นกระบะท้ายได้ง่ายกว่าเดิม
สำหรับภายในนั้นมีการเปลี่ยนดีไซน์หลายรายการ ทั้งพวงมาลัย หันมาเลือกใช้แบบ 3 ก้าน ดูสปอร์ต, หน้าปัดมากับจอแสดงผลแบบใหม่, หน้าจอกลางขนาด 8 นิ้วใหม่รองรับระบบ Nissan Connect ที่สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และAndroid Auto ได้ กระจกบานหน้าเป็นแบบลดเสียงรบกวนจากภายนอก ขณะที่เบาะนั่งปรับไฟฟ้ามีในรุ่นVL แต่เสียดายไม่มีในรุ่น Pro4Xที่ถือว่าเป็นรุ่นท็อปสุด
ด้านระบบความปลอดภัยใส่มาให้อย่างครบถ้วน เช่น กล้องมองภาพรอบทิศทาง , ระบบเตือนมุมอับสายตา ระบบเบรกฉุกเฉิน รวมถึงระบบความปลอดภัยพื้นฐานอย่าง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันการลื่นไถล เป็นต้น
นุ่มขึ้น แรงถึงใจกว่า
อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่า การลองขับเป็นพื้นที่ปิดรอบสั้นๆ โดยจำลองสถานีแบบออฟโรดมาให้อย่างครบครัน เริ่มด้วย เนินเอียง 30 องศา, เนินเอียงแบบโค้งไต่ระดับ, ลุยน้ำลึก 60 กว่าซม., เนินสลับ, ทางขรุขระ, ไต่เนินสูงชัน 46 องศา และจบท้ายด้วยการขับลุยแอ่งน้ำแบบเต็มสปีด
ซึ่งการลองขับอาจจะดูเหมือนสั้นๆ แต่อุปสรรคถือว่ายากอยู่และทีมงานให้เราลองขับได้ทุกรุ่น กี่รอบก็ได้ ดังนั้นเราจึงขับแบบครบทุกรุ่นอย่างที่ต้องการโดยเริ่มต้นด้วยการขับในรุ่น King cab ขับสอง เกียร์อัตโนมัติ ที่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับลุยจุดทดสอบแบบออฟโรด แม้ว่าจะไปได้แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และทีมงาน
ผลลัพธ์คือ เรารู้สึกถึงการตอบสนองที่ทันใจมีแรงดึงเบาๆ ให้รู้สึกไดเมื่อกดคันเร่งแบบคิกดาวน์เต็มเท้า ช่วงล่างนุ่มขึ้นกว่าตัวเดิมเป็นไปตามที่วิศวกรได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า มีการปรับช่วงล่างใหม่ทั้งหมด การขับลุยน้ำลึก60 กว่าซม. ไร้ปัญหาใดๆ ขับผ่านได้สบาย เรียกว่าพละกำลัง 163 แรงม้ากับเกียร์ออโต้นั้นเพียงพอใช้งาน
จากนั้นลองขับรุ่นKing cab ขับสอง ตัวเตี้ย เกียร์ธรรมดา สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ คลัทช์นุ่มมาก และค่อนข้างสูง เวลาปล่อยต้องยกเท้าให้สุด ข้อดีคือช่วยให้ขับขี่ง่าย แต่คนที่ใช้งานเกียร์ธรรมดาประจำอาจจะบ่นบ้าง คงไม่เป็นไร อัตรเร่งขับสนุกว่าเกียร์อัตโนมัติ ตอบสนองทันใจ แรงบิดดีใช้งานผ่านอุปสรรคแบบwalking speed ได้ง่ายๆ เหมาะกับมือใหม่หัดขับเป็นอย่างดี จะมีที่ผู้เขียนไม่ชอบคือ รัศมีการเลี้ยวของพวงมาลัยที่แม้วิศวกรบอกว่าปรับใหม่แล้ว แต่ยังรู้สึกว่ากว้างไปหน่อย
ถัดมาไปลองกันที่รุ่น 4 ประตู ขับสี่VL ตัวท็อปเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งรอบนี้จะได้ลุยทุกจุดของสนาม การลองกดคันเร่งออกตัวแบบรุนเรง ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างด้านอัตราเร่งเมื่อเทียบกับรุ่น King Cab แต่สิ่งที่แตกต่างแบบรู้สึกไดคือ ช่วงล่าง นุ่มกว่าแบบชัดเจน ดูดซับแรงสะเทือนจากผิวขรุขระได้ดีกว่า ส่วนการไต่เนินเอียงและเนินสูงทำได้แบบผ่านฉลุย ไม่ต้องกังวลแต่ประการใด
โมเดลที่สี่ที่ต้องลองในคราวนี้คือ Pro4X ตัวท็อปสุดของไลน์อัพในคราวนี้ และเพื่อไม่ให้เสียศักดิ์ศรีของตัวท้อป เราจัดหนัก อัตราเร่งสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่มากกว่าเมื่อคิกดาวน์ตอนออกตัว ช่วงล่างมาในแนวนุ่มนวล และเมื่อมาถึงการไต่เนินเอียงแบบโค้ง รอบนี้เราปีนขึ้นไปสูงตามการโบกของทีมงาน
เนินโค้งรอบนี้ยิ่งไต่ยิ่งสูง จนขณะขับนั้นรู้สึกว่าสูงเกินไปแล้ว ตัวรถเริ่มเอียงจนรู้สึกเหมือนว่าจะคว่ำ ทำให้เราต้องฝืนการโบกของทีมงานประคองพวงมาลัยให้ตัวรถนั้นไม่เอียงไปมากกว่านี้ เพราะมิฉะนั้นอาจจะคว่ำได้ และเมื่อขับมาจนสุดแนวโค้ง เราไต่ลงไปโดยด้านท้ายของรถไปกระแทกกับกรวยยางที่ตั้งกั้นแนวสุดทางเอาไว้
ผ่านพ้นอุปสรรคนี้มาได้แบบหวาดเสียวที่สุดในชีวิต รอบอื่นขับไม่เอียงเท่ารอบนี้ และเมื่อทีมงานพาผู้ขับมาดูแนวการไต่ของล้อ พบว่า สูงกว่าแนวเส้นสีแดงที่ขีดเอาไว้ให้ไต่ถึงกว่า 30 ซม. จึงทำให้รถเอียงมากกว่าปกติ เรียกว่า เป็นการขับในระดับที่แตะถึงขีดสุดความสามารถของตัวรถ หากเกินกว่านี้อาจจะคว่ำแล้วก็เป็นได้ แสดงให้เห็นว่า เจ้านาวารา Pro4Xนั้นมีการออกแบบทางวิศกรรมและมีคุณภาพที่ดีมากพอในการลุยอุปสรรคยากๆ เช่นนี้
หลังจากนั้นเป็นการขับตามสถานีต่างๆ ซึ่งบอกได้เลยว่า ลุยผ่านได้เหมือนกินขนมหวาน ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด โดยเฉพาะตรงพื้นผิวขรุขระ เรารู้สึกว่า Pro4X นั้นมีแรงสะเทือนมาถึงผู้ขับน้อยกว่ารุ่นVL ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากล้อและยางที่เลือกใช้ขนาด 17 นิ้ว ซึ่งเล็กว่ารุ่น VL ที่เป็นขนาด 18 นิ้ว
สุดท้ายของการทดลองขับในวันนี้ เราขอทีมงานนิสสันเป็นพิเศษอยากลองขับเหมือนที่ทีมงานขับโชว์ในวันเปิดตัว ซึ่งได้รับอนุญาตและเราเลือกใช้ Pro4X ในการลุยทำโดนัททางฝุ่น มีการปิดระบบความปลอดภัยทั้งหมด และปรับโหมดเป็นขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเท่านั้น
กว่าสิบรอบที่เราขับในรูปแบบโดนัท สิ่งที่ได้คือ ฝุ่นฟุ้งกระจายพร้อมความสนุกสนาน ตัวรถมีพลังแรงเพียงพอในการสร้างโดนัทได้อย่างง่ายดาย พวงมาลัยควบคุมแม่นยำ เบรกเอาอยู่ ช่วงล่างรับแรงกระแทกได้ดี การขับให้รถหลุดเหมือนเสียการทรงตัวแต่ยังควบคุมได้นั้น คือสิ่งที่สำคัญที่บ่งชี้ว่ารถแรงและมีพื้นฐานทางวิศกรรมที่ดีพอ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่า แรงแล้วลงไปนอนอยู่ข้างถนน แบบนั้นคงไม่ดีแน่นอน
ถึงบรรทัดนี้ กล่าวโดยสรุปนิสสัน นาวารา รุ่นปรับโฉมใหม่ มิใช่ปรับเพียงแค่หน้าตาหรือเสริมออพชัน แต่ยังปรับไปถึงหัวใจในการขับขี่ที่เรากล้าใช้คำว่า “ยกระดับสมรรถนะการขับขี่” มาอยู่ในชั้น Tier1 ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เหลือเพียงการลองขับแบบทางยาวๆ และใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เท่านั้นว่าให้ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง