หลังจากเปิดตัวรถ ออลนิว อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ ใหม่ นาย โทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในช่วงลำบากเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 บวกกับเศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ดีทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาเช่นเดียวกัน
แม้ว่า “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” จะเปิดตัวท่ามกลางภาวะที่ยากลำบาก และเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่เราคาดหวังว่ารถรุ่นใหม่นี้จะได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถชาวไทย โดยคาดหวังว่าในช่วง 6 เดือนแรกนี้ น่าจะขายได้สักเดือนละ 2,000 คัน และหลังจากนั้นถ้าขายได้เดือนละ 1,500 คันก็พอใจแล้ว
สำหรับกลยุทธ์ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” คือ ต้องการให้ลูกค้าได้เห็นรถ และสัมผัสรถด้วยการทดสอบรถให้มากที่สุด เลยจัดสัปดาห์พิเศษชื่อ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์ สเปเชียล วีค” เริ่มวันที่ 12 พฤศจิกายนถึง 31 ธันวาคม โดยมีการเสนอราคาพิเศษในช่วงแนะนำ และให้ทดลองขับที่โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ หลังจากนั้นจะประเมินปฏิกิริยาของลูกค้า รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจ เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับราคาขึ้นหรือไม่
“ยอดขายอีซูซุมิว-เอ็กซ์รุ่นก่อนตกเดือนละใกล้ ๆ 1,000 คัน ซึ่งรุ่นนี้ขายหมดแล้ว โดยเครื่องยนต์ 1.9 Ddi จะขายดีมาก แต่สำหรับ “ออลนิว อีซูซุมิว-เอ็กซ์” เราคิดว่า เครื่องยนต์ 3,000 Ddi มีการปรับเครื่องยนต์ให้มีพลังมากขึ้น น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิม”
นาย โทชิอากิ มาเอคาวะ กล่าวเพิ่มเติมว่า 9 เดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่มกราคม-กันยายน 2020 อีซูซุมียอดขายรถรวมทุกรุ่น 123,526 คัน เฉพาะรถปิกอัพออลนิว อีซูซุดีแมคซ์ ขายได้ 110,158 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 44.6% ขณะที่เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว ขายได้ 107,073 ส่วนแบ่งตลาด 33.9% ทำให้อีซูซุมียอดขายรถปิกอัพเป็นอันดับ 1 ของปีนี้ และการจะได้แชมป์ปิกอัพของปีนี้หรือไม่นั้นยังเหลืออีก 1 ไตรมาส แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ก็น่าจะได้ ซึ่งประธานก็ไม่ได้นอนใจว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป เพราะการเกิดโควิด-19 ทำให้ปริมาณการผลิตของแต่ละค่ายต้องปรับไปปรับมา ส่วนรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ของอีซูซุขายได้ 9,213 คัน ถึงแม้ตลาดจะหดตัวลงแต่ Market Share ของอีซูซุสูงขึ้น คือ 51.6%
ส่วนปีที่แล้วตลาดรถของไทยมียอดขายประมาณ 1 ล้านคัน ส่วนเดิมทีปีนี้อีซูซุเคยประมาณการยอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ 600,000 กว่าคัน แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน อีซูซุมีการปรับตัวเลขยอดจำหน่ายรถรวมทุกยี่ห้อของไทยในปีนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 757,000 คัน เพราะคาดว่าน่าจะลดลงไปจากปีที่แล้วประมาณ 25% โดย 9 เดือนแรกขายได้ 534,765 คัน อย่างไรก็ตามปีนี้คาดการณ์ได้ยากมาก จากเดิมตอนแรกที่คาดว่าพิษโควิด-19 จะร้ายแรงมากกว่านี้ ด้วยส่งผลให้คนมีรายได้น้อย ต้องพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นหลัก คนตกงาน แต่สิ่งที่ผิดไปจากการคาดการณ์ของเรา คือ พอคนตกงานกลับไปภูมิลำเนาเดิม ไปเริ่มต้นอาชีพใหม่ หรือมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้มีความต้องการใช้รถปิกอัพมากขึ้น ยอดขายปิกอัพก็เลยเพิ่มขึ้นอย่างน่าแปลกใจ ทำให้เราต้องปรับยอดขึ้น หรือกรณีของ E-Commerce บริษัทรับ-ส่งของ ต่าง ๆ ก็ขยายธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น
“ตอนที่โควิดระบาดเราประสบความสำเร็จ เพราะเราใช้การตลาดออนไลน์เป็นหลัก เรามีการพัฒนาระบบไอทีของตรีเพชร และผู้จำหน่ายอีซูซุมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ผู้จำหน่ายอีซูซุรู้เรื่องออนไลน์ พอเกิดโควิด-19 เขาเลยทำกิจกรรมทางออนไลน์ได้ไม่ยาก ทำให้เราไม่ต้องทำนโยบายการตัดราคา เพราะมันไม่ใช่นโยบายของเรา ถ้ามีการระบาดรอบสองรอบสาม เราก็คงไปให้ความสำคัญกับการตลาดออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น”
ปัจจุบันอีซูซุมีโชว์รูมและศูนย์บริการมากกว่า 330 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว และวางแผนว่าจะยังไม่มีการเพิ่มจำนวนโชว์รูมใหม่ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วถ้าไม่จำเป็น เนื่องจากโชว์รูม และศูนย์บริการที่มีอยู่เพียงพอที่จะให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรองรับทั้งปัจจุบันและในอนาคตถ้าตลาดขยายตัว โดยอีซูซุมีการลงทุนไปตั้งแต่ปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปีนี้กับการปรับเปลี่ยนโชว์รูมใหม่ในคอนเซ็บชื่อ The TOUCH เปลี่ยนสีโชว์รูมใหม่เป็นสีเทาและสีแดง เป็น Corporate Identity Color ใหม่ของเรา ซึ่งตรีเพชรและผู้จำหน่ายก็ลงทุนร่วมกันประมาณ 4,000 ล้านบาท
เรื่องมาตรฐานน้ำมัน เราต้องขยับไปเป็นยูโร 5-6มีผลกระทบกับการวางแผนการผลิตรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ของอีซูซุไหมนั้น อีซูซุมีการพัฒนารถที่รองรับทั้งยูโร5 และ6 เรียบร้อยแล้วแต่สิ่งที่ตามมาคือราคาที่ปรับเพิ่มมากขึ้นสำหรับลูกค้ามีความอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องราคาเขาก็อาจจะใช้รถรุ่นเดิมให้ยาวนานต่อไป หากรัฐบาลต้องประกาศว่าจะเริ่มใช้เมื่อไหร่ อีซูซุยินดีที่จะทำตามนโยบายแต่ตอนนี้น้ำมันในประเทศไทยรองรับแค่ยูโร4 การออกรถยูโร5 ก่อนที่รัฐบาลจะบังคับใช้จึงไม่มีประโยชน์อะไรต้องรอให้เป็นน้ำมันยูโร5 ด้วยกัน
เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองปัจจุบันขึ้นอยู่กับมุมมองนักลงทุนว่ามาจากประเทศไหนสำหรับประธานขอพูดในนามของประเทศญี่ปุ่นนักลงทุนญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนานเรารู้ดีว่าประเทศไทยในระยะยาวจะไม่เป็นแบบนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น ยังเชื่อมั่นในประเทศไทยอยู่ในระยะยาวคงจะมั่นคงเหมือนเดิม
สำหรับสถานการณ์ตลาดรถปี 2564 จะเป็นอย่างไร เป็นคำถามที่ตอบค่อนข้างยาก เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นเศรษฐกิจของไทยก็ผันแปรไปตามอุตสาหกรรมทั้ง 2 อย่างนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ วัคซีนสำหรับป้องกันโควิด-19 จะนำมาใช้จริงได้เมื่อไหร่ ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าวัคซีนจะออกมาในปีหน้า และเศรษฐกิจจะดีขึ้น เราคาดการณ์ว่ายอดขายในตลาดรถปีนี้จะอยู่ที่ 757,000 คัน หากปีหน้าพอจะมีวัคซีนออกมาได้บ้าง ยอดขายรถปีหน้าน่าจะอยู่ระดับ 800,000 คัน คือ ดีกว่าปีนี้นิดหน่อย แต่การจะฟื้นตัวได้หรือไม่ขึ้นอยู่ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เท่าที่มีการคาดการณ์กัน คาดว่าจะกลับมาปกติได้ปี 2024 หรือนับจากนี้ไปอีก 4 ปี ต้องดูว่าการแพร่ระบาดรอบสองรอบสามในต่างประเทศจะเป็นยังไงด้วย