คลายทุกข้อสงสัย เหตุใด นิสสัน จึงหยุดขายรถยนต์ 3 รุ่นรวด ทั้ง เทียน่า, เอ็กซ์ เทรล และซีลฟี่ กับนายใหญ่ “ราเมช นาราสิมัน” ประธาน ของนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย พร้อมเผยแผนงานและทิศทางในอนาคตว่าจะเดินไปอย่างไรต่อ ซึ่งทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่งได้มีโอกาสร่วมสัมภาษณ์พิเศษพร้อมสื่อมวลชนอื่นๆ ในงานทดสอบรถยนต์นิสสัน คิกส์ เมื่อเร็วๆ นี้
ทำไมจึงยุติการทำตลาด เทียน่า, เอ็กซ์-เทรล และซีลฟี่
เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก แต่เพื่อประสิทธิภาพในการขายที่เหมาะสม เราจึงจำเป็นต้องยุติการทำตลาดของทั้ง 3 รุ่น เนื่องจากยอดขายล่าสุด 3 รุ่นรวมกันมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคัน ประกอบกับกลุ่มลูกค้าที่ใกล้เคียงกันของเอ็กซ์-เทรล และเทอร์ร่า ฉะนั้นเมื่อเรามีการผลิตเพิ่มขึ้นในโรงงานจนถึงระดับที่มากกว่า 100% ของกำลังผลิตปกติ ทำให้ต้องตัดสินใจยุติบางรุ่นไปเพื่อนำกำลังผลิตนั้นมาปรับใช้กับรถที่ขายได้มากกว่าอย่าง นิสสัน คิกส์
ปัจจุบัน นิสสัน คิกส์ ผลิตที่โรงงาน1 ที่เดียวกับทั้ง 3 รุ่นดังกล่าว เมื่อคิกส์เปิดตัวในไทยและญี่ปุ่น ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่ง คิกส์ นั้นมีประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวของนิสสันและทำหน้าที่กระจายการจำหน่ายไปทั่วโลก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องตัดการผลิตบางรุ่นไป เพื่อนำไลน์ผลิตดังกล่าวมาใช้ผลิต คิกส์
จะมีรถรุ่นใหม่มาไทยหรือไม่
รถรุ่นใหม่ จะมีเปิดตัวในไทยอย่างแน่นอน กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลอยู่ แตไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนตัวถ้าถามว่าชอบรุ่นไหน ชอบ เซเรน่า ซึ่งมีเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ ด้วย แต่การนำเข้าคงเป็นไปได้ยากเพราะจะทำราคาสู้คู่แข่งไม่ได้ ส่วนการขึ้นไลน์ผลิตนั้นจำเป็นต้องมีปริมาณการขายที่มากพอเข้ามารองรับ ซึ่งปัจจุบันรถในเซกเมนท์นี้ถือว่าตลาดค่อนข้างเล็ก
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น อริยะ Ariya อยากนำเข้ามาทำตลาดในไทยมากๆ ได้เจรจากับบริษัทฯ แม่เพื่อทำตลาดแล้ว แต่มีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก และเมื่อถามถึงการนำเข้ามาจากประเทศจีน ยังไม่สามารถให้คำตอบได้เนื่องจากที่จีนจะผลิตเฉพาะรุ่นพวงมาลัยซ้ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากมีการผลิตพวงมาลัยขวาก็มีความเป็นไปได้ในการทำตลาดที่เมืองไทย
ปัจจัยที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดในไทย
ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แค่เพียงภาษีอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการสนับสนุนโดยตรงให้กับผู้ซื้อด้วย เช่น การให้สิทธิพิเศษด้านการจอดรถ หรือการให้เสียภาษีในอัตราพิเศษ เป็นต้น ดูจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรัฐบาลเหล่านั้นต่างใช้มาตรการจูงใจเต็มที่ และต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้รองรับควบคู่กันไปด้วย
ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทย
ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ยอดขายราว 680,000-700,000 คัน พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนหันมาใช้รถที่เล็กลง ประกอบกับการอัดแคมเปญอย่างรุนแรงของทุกค่ายรถยนต์มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถกันมากขึ้น
สถานการณ์ของนิสสันไทย
ต้องบอกว่าดีมาก ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ ปีที่แล้วนิสสัน มอเตอร์ ลงทุนในไทยมูลค่า 5,000 ล้านบาท และปีนี้ลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ฉะนั้นไม่ต้องกังวล ล่าสุดในแง่ของการผลิต นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตรถเพื่อส่งออกไปทั่วโลก โดยกำลังการผลิตของโรงงาน 1 ผลิตรถยนต์นั่งและเอสยูวี ใช้ถึง 110% คือต้องทำงาน 2 กะแล้วในเวลานี้ และโรงงาน 2 ผลิตกระบะและเทอร์ร่า ใช้กำลังผลิตเกือบ 100%
เหนือสิ่งอื่นใด นิสสัน มอเตอร์ ยังได้ประกาศให้นิสสัน ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการผลิตของภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จะยังคงทำตลาดอย่างต่อเนื่องในไทยแน่นอน
สำหรับยอดขายของ คิกส์นั้น ในเดือนสิงหาคมมมียอดขายราว 400 คัน โดยรวมถือว่าเป็นไปตามที่นิสสันคาดไว้ แต่ไม่ใช่เป้าหมายการขายของผม(เพราะหวังมากกว่านั้น) ส่วนข้อเรียกร้องต่างๆ เช่น ฝาท้ายไฟฟ้า, ซันรูฟ และที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัตินั้นรับทราบแล้ว อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล
ส่วนรุ่นที่จำหน่ายมานานอย่าง นิสสัน มาร์ช จะยังคงทำตลาดต่อไป ตราบเท่าที่ตลาดยังคงมีความต้องการอยู่ ซึ่งปัจจุบันมาร์ชยังมียอดขายในระดับหลายร้อยคันในไทยและยังมียอดขายที่ดีในญี่ปุ่น คงไม่มีการเปลี่ยนรุ่นหรือยุติการผลิตในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
นโยบายด้านราคา
เราไม่ต้องการให้ทุกโมเดล ลดราคาเพื่อสู้กับคู่แข่งด้านยอดขาย ต่อไปเราจะไม่มีการลดราคาสินค้าอย่างไม่มีเหตุผล ในอดีตยอมรับว่า บางรุ่นมีการตั้งราคาสูงเพื่อให้มีการใช้แคมเปญส่วนลดมาช่วยขาย ทำให้เซลล์เน้นเรื่องแคมเปญมากจนเกินไป แต่นโยบายใหม่จะไม่มีเช่นนั้นแล้ว นิสสันจะตั้งราคาที่เหมาะสมแทน (Reposition Price) แล้วให้เซลล์นำเสนอเรื่องของตัวสินค้ามากกว่าแคมเปญ เริ่มต้นด้วยการประกาศราคานิสสัน ลีฟ ใหม่จาก 1.99 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1.599 ล้านบาท
ในส่วนของดีลเลอร์นั้น หากเป็นการลดราคาให้ลูกค้า ในทางกฎหมาย นิสสันคงไม่สามารถไปห้ามได้ แต่จะพยายามสื่อสารไม่ให้มีการตัดราคาขายระหว่างดีลเลอร์ด้วยกันเอง และยอมรับว่า การเปลี่ยนการรับรู้ของผู้บริโภคและการนำเสนอของเซลส์อย่างนี้ทำได้ค่อนข้างยาก แต่จำเป็นต้องทำเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ในระยะยาว
เป้าหมายของนิสสัน
หากเป็นยอดขายคงไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ แต่ในแง่ของสัดส่วนการขาย เป้าหมายระยะกลางยังคงเป็นการครองส่วนแบ่งการตลาดด้วยตัวเลขสองหลัก ส่วนปัจจุบันในปีนี้รักษาระดับส่วนแบ่งการตลาดให้เท่าๆ เดิมที่ 6.5-6.6%
ถึงบรรทัดนี้ พอจะทราบถึงเหตุผลในการยุติการทำตลาดและน่าจะเรียกความมั่นใจให้กับลูกค้าของนิสสันกลับคืนมาได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือแผนในอนาคต แฟนๆ นิสสัน เตรียมรอชมได้
ทำไมจึงยุติการทำตลาด เทียน่า, เอ็กซ์-เทรล และซีลฟี่
เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก แต่เพื่อประสิทธิภาพในการขายที่เหมาะสม เราจึงจำเป็นต้องยุติการทำตลาดของทั้ง 3 รุ่น เนื่องจากยอดขายล่าสุด 3 รุ่นรวมกันมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคัน ประกอบกับกลุ่มลูกค้าที่ใกล้เคียงกันของเอ็กซ์-เทรล และเทอร์ร่า ฉะนั้นเมื่อเรามีการผลิตเพิ่มขึ้นในโรงงานจนถึงระดับที่มากกว่า 100% ของกำลังผลิตปกติ ทำให้ต้องตัดสินใจยุติบางรุ่นไปเพื่อนำกำลังผลิตนั้นมาปรับใช้กับรถที่ขายได้มากกว่าอย่าง นิสสัน คิกส์
ปัจจุบัน นิสสัน คิกส์ ผลิตที่โรงงาน1 ที่เดียวกับทั้ง 3 รุ่นดังกล่าว เมื่อคิกส์เปิดตัวในไทยและญี่ปุ่น ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ซึ่ง คิกส์ นั้นมีประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวของนิสสันและทำหน้าที่กระจายการจำหน่ายไปทั่วโลก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องตัดการผลิตบางรุ่นไป เพื่อนำไลน์ผลิตดังกล่าวมาใช้ผลิต คิกส์
จะมีรถรุ่นใหม่มาไทยหรือไม่
รถรุ่นใหม่ จะมีเปิดตัวในไทยอย่างแน่นอน กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลอยู่ แตไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนตัวถ้าถามว่าชอบรุ่นไหน ชอบ เซเรน่า ซึ่งมีเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ ด้วย แต่การนำเข้าคงเป็นไปได้ยากเพราะจะทำราคาสู้คู่แข่งไม่ได้ ส่วนการขึ้นไลน์ผลิตนั้นจำเป็นต้องมีปริมาณการขายที่มากพอเข้ามารองรับ ซึ่งปัจจุบันรถในเซกเมนท์นี้ถือว่าตลาดค่อนข้างเล็ก
ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น อริยะ Ariya อยากนำเข้ามาทำตลาดในไทยมากๆ ได้เจรจากับบริษัทฯ แม่เพื่อทำตลาดแล้ว แต่มีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก และเมื่อถามถึงการนำเข้ามาจากประเทศจีน ยังไม่สามารถให้คำตอบได้เนื่องจากที่จีนจะผลิตเฉพาะรุ่นพวงมาลัยซ้ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากมีการผลิตพวงมาลัยขวาก็มีความเป็นไปได้ในการทำตลาดที่เมืองไทย
ปัจจัยที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดในไทย
ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แค่เพียงภาษีอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการสนับสนุนโดยตรงให้กับผู้ซื้อด้วย เช่น การให้สิทธิพิเศษด้านการจอดรถ หรือการให้เสียภาษีในอัตราพิเศษ เป็นต้น ดูจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรัฐบาลเหล่านั้นต่างใช้มาตรการจูงใจเต็มที่ และต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้รองรับควบคู่กันไปด้วย
ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทย
ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ยอดขายราว 680,000-700,000 คัน พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนหันมาใช้รถที่เล็กลง ประกอบกับการอัดแคมเปญอย่างรุนแรงของทุกค่ายรถยนต์มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถกันมากขึ้น
สถานการณ์ของนิสสันไทย
ต้องบอกว่าดีมาก ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ ปีที่แล้วนิสสัน มอเตอร์ ลงทุนในไทยมูลค่า 5,000 ล้านบาท และปีนี้ลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ฉะนั้นไม่ต้องกังวล ล่าสุดในแง่ของการผลิต นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตรถเพื่อส่งออกไปทั่วโลก โดยกำลังการผลิตของโรงงาน 1 ผลิตรถยนต์นั่งและเอสยูวี ใช้ถึง 110% คือต้องทำงาน 2 กะแล้วในเวลานี้ และโรงงาน 2 ผลิตกระบะและเทอร์ร่า ใช้กำลังผลิตเกือบ 100%
เหนือสิ่งอื่นใด นิสสัน มอเตอร์ ยังได้ประกาศให้นิสสัน ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางในการผลิตของภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จะยังคงทำตลาดอย่างต่อเนื่องในไทยแน่นอน
สำหรับยอดขายของ คิกส์นั้น ในเดือนสิงหาคมมมียอดขายราว 400 คัน โดยรวมถือว่าเป็นไปตามที่นิสสันคาดไว้ แต่ไม่ใช่เป้าหมายการขายของผม(เพราะหวังมากกว่านั้น) ส่วนข้อเรียกร้องต่างๆ เช่น ฝาท้ายไฟฟ้า, ซันรูฟ และที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัตินั้นรับทราบแล้ว อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล
ส่วนรุ่นที่จำหน่ายมานานอย่าง นิสสัน มาร์ช จะยังคงทำตลาดต่อไป ตราบเท่าที่ตลาดยังคงมีความต้องการอยู่ ซึ่งปัจจุบันมาร์ชยังมียอดขายในระดับหลายร้อยคันในไทยและยังมียอดขายที่ดีในญี่ปุ่น คงไม่มีการเปลี่ยนรุ่นหรือยุติการผลิตในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
นโยบายด้านราคา
เราไม่ต้องการให้ทุกโมเดล ลดราคาเพื่อสู้กับคู่แข่งด้านยอดขาย ต่อไปเราจะไม่มีการลดราคาสินค้าอย่างไม่มีเหตุผล ในอดีตยอมรับว่า บางรุ่นมีการตั้งราคาสูงเพื่อให้มีการใช้แคมเปญส่วนลดมาช่วยขาย ทำให้เซลล์เน้นเรื่องแคมเปญมากจนเกินไป แต่นโยบายใหม่จะไม่มีเช่นนั้นแล้ว นิสสันจะตั้งราคาที่เหมาะสมแทน (Reposition Price) แล้วให้เซลล์นำเสนอเรื่องของตัวสินค้ามากกว่าแคมเปญ เริ่มต้นด้วยการประกาศราคานิสสัน ลีฟ ใหม่จาก 1.99 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1.599 ล้านบาท
ในส่วนของดีลเลอร์นั้น หากเป็นการลดราคาให้ลูกค้า ในทางกฎหมาย นิสสันคงไม่สามารถไปห้ามได้ แต่จะพยายามสื่อสารไม่ให้มีการตัดราคาขายระหว่างดีลเลอร์ด้วยกันเอง และยอมรับว่า การเปลี่ยนการรับรู้ของผู้บริโภคและการนำเสนอของเซลส์อย่างนี้ทำได้ค่อนข้างยาก แต่จำเป็นต้องทำเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ในระยะยาว
เป้าหมายของนิสสัน
หากเป็นยอดขายคงไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ แต่ในแง่ของสัดส่วนการขาย เป้าหมายระยะกลางยังคงเป็นการครองส่วนแบ่งการตลาดด้วยตัวเลขสองหลัก ส่วนปัจจุบันในปีนี้รักษาระดับส่วนแบ่งการตลาดให้เท่าๆ เดิมที่ 6.5-6.6%
ถึงบรรทัดนี้ พอจะทราบถึงเหตุผลในการยุติการทำตลาดและน่าจะเรียกความมั่นใจให้กับลูกค้าของนิสสันกลับคืนมาได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือแผนในอนาคต แฟนๆ นิสสัน เตรียมรอชมได้
