เมอร์เซเดสข-เบนซ์ ยืนยันครองแชมป์ตลาดรถหรูของไทยช่วงครึ่งปีแรก ยอดขาย 4,032 คัน มั่นใจตลาดเริ่มฟื้นตัว ยอมรับรถดีเซลทุกคันที่จำหน่ายในปัจจุบัน ไม่สามารถเติม ดีเซล บี10 ได้ หากรัฐเปลี่ยนให้ ดีเซล บี10 เป็นมาตรฐานต้องปรับไลน์ผลิตและสเปกเครื่องยนต์ดีเซลใหม่หมด รวมถึงกระทบลูกค้าเก่าทุกคัน เชื่อรัฐยังไม่เลิก ดีเซล บี7 เพื่อให้ปรับตัวได้ทัน
นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรถยนต์หรูในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้ยอดขายหดตัวลดลง โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดขายรวม6เดือนแรกของปีนี้ที่ 4,032 คัน
สำหรับสัดส่วนการขายจะเป็นรถในตระกูล ซี คลาส, อี คลาส และ เอส คลาส รวมกันราว 40% ส่วนที่เหลือแบ่งเป็น รถดรีมคาร์ 20% รถเอสยูวี 20% และที่เหลืออีก 20%เป็นรถเล็ก โดยรถแบบ EQ ที่เป็นรถใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาร่วมขับเคลื่อนนั้นมีส่วนแบ่งจากยอดขายทั้งหมดราว 30%
“จากตัวเลขยอดขายของเรามั่นใจว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์หรูของประเทศไทย โดยแผนการต่างๆ มีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ซึ่งการงดออกแสดงงานในอีเวนท์ต่างๆ นั้นเป็นนโยบายจากบริษัทฯ แม่ที่คำนึงถึงความปลอดภัยในด้านสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง” นายโรลันด์กล่าว
ขณะที่การจัดงาน Star Phenomenon ในช่วงที่ผ่านมาของดีลเลอร์นั้น ได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ มียอดจองเข้ามามากกว่าหนึ่งพันคัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว และมีทิศทางที่ดีหากสถานการณ์คลี่คลายแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ด้านนายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน ไม่สามารถใช้งานดีเซลชนิด บี10 ได้ ดังนั้นหากภาครัฐออกมาตรการบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันดีเซล บี10 กลายเป็นน้ำมันมาตรฐานของประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานและไลน์การผลิต ฉะนั้นควรให้เวลาในการปรับตัว
“เชื่อว่ารัฐบาลจะยังไม่เลิก ดีเซล บี7 น่าจะยังคงมีให้ใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 7-8 ปี เพราะรถในปัจจุบันทุกคันของเมอร์เซเดส-เบนซ์จะไม่สามารถรองรับการเติมดีเซล บี10ได้ หากยกเลิกทันทีจะกระทบต่อลูกค้าที่ใช้รถดีเซลเป็นจำนวนมาก”
ทั้งนี้หากมีการประกาศให้ ดีเซล บี10 เป็นมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ จำเป็นต้องมีการปรับไลน์การผลิตใหม่ทั้งหมด รวมถึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาใหม่ด้วยเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัทฯ แม่ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มีเทคโนโลยีพร้อมรองรับอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการเวลาและความชัดเจนในการดำเนินนโยบายจากภาครัฐ
นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรถยนต์หรูในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้ยอดขายหดตัวลดลง โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดขายรวม6เดือนแรกของปีนี้ที่ 4,032 คัน
สำหรับสัดส่วนการขายจะเป็นรถในตระกูล ซี คลาส, อี คลาส และ เอส คลาส รวมกันราว 40% ส่วนที่เหลือแบ่งเป็น รถดรีมคาร์ 20% รถเอสยูวี 20% และที่เหลืออีก 20%เป็นรถเล็ก โดยรถแบบ EQ ที่เป็นรถใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาร่วมขับเคลื่อนนั้นมีส่วนแบ่งจากยอดขายทั้งหมดราว 30%
“จากตัวเลขยอดขายของเรามั่นใจว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์หรูของประเทศไทย โดยแผนการต่างๆ มีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ซึ่งการงดออกแสดงงานในอีเวนท์ต่างๆ นั้นเป็นนโยบายจากบริษัทฯ แม่ที่คำนึงถึงความปลอดภัยในด้านสุขภาพเป็นอันดับหนึ่ง” นายโรลันด์กล่าว
ขณะที่การจัดงาน Star Phenomenon ในช่วงที่ผ่านมาของดีลเลอร์นั้น ได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ มียอดจองเข้ามามากกว่าหนึ่งพันคัน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว และมีทิศทางที่ดีหากสถานการณ์คลี่คลายแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ด้านนายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน ไม่สามารถใช้งานดีเซลชนิด บี10 ได้ ดังนั้นหากภาครัฐออกมาตรการบังคับให้เปลี่ยนน้ำมันดีเซล บี10 กลายเป็นน้ำมันมาตรฐานของประเทศไทย จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานและไลน์การผลิต ฉะนั้นควรให้เวลาในการปรับตัว
“เชื่อว่ารัฐบาลจะยังไม่เลิก ดีเซล บี7 น่าจะยังคงมีให้ใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 7-8 ปี เพราะรถในปัจจุบันทุกคันของเมอร์เซเดส-เบนซ์จะไม่สามารถรองรับการเติมดีเซล บี10ได้ หากยกเลิกทันทีจะกระทบต่อลูกค้าที่ใช้รถดีเซลเป็นจำนวนมาก”
ทั้งนี้หากมีการประกาศให้ ดีเซล บี10 เป็นมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ จำเป็นต้องมีการปรับไลน์การผลิตใหม่ทั้งหมด รวมถึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาใหม่ด้วยเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของบริษัทฯ แม่ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มีเทคโนโลยีพร้อมรองรับอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการเวลาและความชัดเจนในการดำเนินนโยบายจากภาครัฐ