เจเนอเรชันที่ 4 ของรถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่อย่าง เอ็กซ์5 (X5) ซึ่งเริ่มทำตลาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1999 ผ่านมาครบ 20 ปี เข้าสู่เจเนอเรชันล่าสุด โดยประเทศไทยทำตลาดด้วย 2 รุ่นย่อยคือ เครื่องยนต์ดีเซล X5 xDrive30d M Sport ค่าตัว 5,699,000 บาท และอีกหนึ่งรุ่น X5 xDrive45e M Sport ที่เป็นแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ทำให้มีราคาค่าตัวที่ย่อมเยาน่าคบหาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยราคาเพียง 4,999,000 บาท
ทั้งนี้ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้มีโอกาสเข้าร่วมขบวนทดลองขับ X5 xDrive45e M Sport กับภารกิจการลุยทางวิบาก ซึ่งแน่นอนว่า กลุ่มลูกค้าที่ออกรถประเภทนี้คงไม่นำไปใช้งานในลักษณะที่ท่านกำลังจะได้อ่านกันเป็นแน่ แต่ทีมงานบีเอ็มดับเบิลยู อยากแสดงให้ทุกท่านได้ทราบว่า X5 มีสมรรถนะการลุยไม่แพ้ใครเหมือนกัน เชิญติดตาม
ฟูลออฟชันช่วงล่างถุงลม
หัวใจของ X5 xDrive45e M Sport คือการมีเครื่องยนต์ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าชุดใหม่ล่าสุด โดยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มีกำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 450 ที่ 1,500-3,500 รอบ/นาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า มีกำลัง 113 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตรโดยเมื่อทำงานร่วมกันจะมีกำลังสูงสุด 394 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
ส่วนแบตเตอรี่นั้นเป็นแบบลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ 24 kWh ซึ่งถือว่ามากกว่า โฉมก่อนหน้าเกินเท่าตัว (9kWh) ซึ่งจากเทคโนโลยีใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู ทำให้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทางไกลสุด 67-87 กม. และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 135 กม./ชม. (เดิมทำได้ 120 กม./ชม.)
ด้านสมรรถนะ บีเอ็มดับเบิลยูเคลมไว้ที่ ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.6 วินาที เหนืออื่นใดระบบช่วงล่างใหม่ ใช้เป็นแบบถุงลมสามารถปรับระดับได้อัตโนมัติและควบคุมความนุ่มนวลด้วยโช้คอัพแบบแปรผัน
ภายในห้องโดยสาร หน้าปัดแสดงผลแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว เช่นเดียวกับหน้าจอควบคุมขนาด 12.3 นิ้ว ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติรุ่นใหม่ล่าสุด เวอร์ชัน 7.0 ช่วยให้สั่งงานได้ง่ายขึ้นทั้งมือ เสียงพูด หน้าจอสัมผัส และปุ่มiDrive พร้อมระบบชาร์จและเชื่อมต่อแบบไร้สาย เพียงวางโทรศัพท์ไว้ที่แท่นชาร์จโทรศัพท์จะเชื่อมข้อมูลกับรถได้ทันที
เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ต หุ้มหนังพิเศษ Vernasca พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังเช่นเดียวกัน พร้อมการตกแต่งด้วยลายไม้ Fineline Stripe สีน้ำตาลเงา หลังคากระจกแบบพาโนรามิคเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง 16 ลำโพงจาก Harmann Kardon กำลังสูงสุด 464 วัตต์
ระบบความปลอดภัยติดตั้งครบครัน อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC) และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call) เป็นต้น
สนุกได้ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าการขับในคราวนี้เป็นการจำลองการขับขี่ในพื้นที่แบบออฟโรดเป็นหลัก โดยเริ่มต้นจากการลองขับเบาๆในสนามผ่านเนินเอียงราว 30 องศา ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู เคลมว่า X5 นั้นสามารถขับผ่านเนินที่เอียงได้ถึง 40 องศา ต่อเนื่องไปถึงจุดทดสอบการขึ้นเนินเพื่อลองระบบกล้องมองหน้า ที่ช่วยให้เห็นทิศทางของรถและสิ่งกีดขวางกรณีที่ต้องขับผ่านเนินสูงชัน
จากนั้นเป็นการลองขับผ่านเนินสลับ เราสามารถสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลจากช่วงล่างถุงลมแบบใหม่ที่ปรับสมดุลตามพื้นผิวการขับขี่แบบอัตโนมัติ ที่สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ ต่อมาเป็นการลองเบรกบนพื้นผิวแบบกรวด เพื่อหาน้ำหนักในการเบรก ที่โดยปกติพื้นที่เป็นกรวดนั้นจะเบรกหยุดด้วยระยะที่มากกว่าพื้นผิวปกติ
เมื่อทำความคุ้นเคยกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ถึงคิวออกวิ่งบนถนนจริง จุดแรกเป็นการขับบนทางคอนกรีต ความรู้สึกโดยรวมคือชอบช่วงล่างที่นุ่มนวลและไม่ย้วยหรือโคลงเคลงตามสไตล์รถสูงใหญ่ ขับบนถนนเรียบๆ ได้ไม่นานทีมงานพาคณะของเราเข้าถึงจุดลุยเส้นทางที่รอบด้านมีการปลูกพืชผลทางการเกษตรเอาไว้
แน่นอนว่าในชีวิตจริง ไม่น่าจะมีใครออกรถราคาเฉียด 5 ล้านบาท แล้วเอาไปลุยไร่ลุยสวนแบบที่เรากำลังขับกันอยู่นี้ ซึ่งทีมงานระบุว่าอยากให้ทุกคนได้ทราบว่า แท้จริงแล้วรถตระกูลเอ็กซ์ ของค่ายใบพัดฟ้าขาวนั้นสามารถลุยท้องที่แบบนี้ได้ โดยตัวรถไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีความนุ่มนวลกว่าการใช้รถแบบอื่นอีกด้วย
เมื่อลุยกันจนรับรู้ถึงสมรรถนะในการขับทางที่ไม่เป็นทางแล้ว กลับขึ้นบนถนนมุ่งหน้าไปยังลานที่มีพื้นผิวพิเศษรองรับเราอยู่ แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เราได้ลองขับแบบเต็มสปีดเท่าที่ระยะทางจะเอื้ออำนวย กดคันเร่งแบบคิกดาวน์ แรงดึงแบบหลังติดเบาะมาในทันที พร้อมกับความเร็วที่พุ่งขึ้นไปแตะ 160 กม./ชม. โดยไม่รู้สึกว่าขับเร็วแต่อย่างใด ณ จุดนี้ขอชื่นชมช่วงล่างชุดนี้ว่า สามารถทำงานได้อย่างคุ้มค่าตัวและถูกจริตการขับของผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง
ตัดภาพกลับมาที่ลานดินร่วน ทีมงานรอคณะของเราเพื่อจับเวลาในการแข่ง จิมคาน่า ใช่ เราจะใช้ X5 มาขับแข่งกันบนผิวดินร่วนซุย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา รอบซ้อมเราจัดเต็มด้วยการปิดระบบช่วงควบคุมการทรงตัวครึ่งหนึ่ง พร้อมปรับโหมดการขับเป็นสปอร์ต รอบนี้ขับแล้วท้ายออก ต้องมีแก้อาการเล็กน้อย แต่ทำเวลาได้ดี
รอบถัดมาจับเวลาจริง ปรับโหมดมาเป็นปกติ ขับเหมือนเดิม รถเสียอาการน้อยลง ทำเวลาได้ดีกว่าเดิมเล็กน้อย และรอบสุดท้ายเติมคันเร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม รถอยู่ในการควบคุมอย่างมั่นใจ พวงมาลัยทำงานแม่นยำ รอบนี้แทบไม่เสียอาการเลย และผลลัพธ์คือรอบนี้ทำเวลาได้ดีที่สุด แต่สุดท้ายเราพ่ายแพ้เพราะไม่สามารถเบรกให้หยุดในช่องที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากพื้นผิวแบบนี้จะมีระยะลื่นไถลมากกว่าถนนปกติทั่วไปนั่นเอง
จบกิจกรรมจิมคาน่า ขับกลับมาจอด พร้อมกับการจัดลำดับในจิตใจใหม่ “นี่คือ X5 ที่ดีที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยสร้างมา” และเป็น X5 คันแรกที่ทำให้เราอยากควักเงินจ่ายแลกมาใช้งานมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในคลาสเดียวกัน
อัตราการบริโภคน้ำมัน บีเอ็มดับเบิลยู เคลมตามมาตรฐานอีโคสติกเกอร์ที่ระดับ 43.5 กม./ลิตร ส่วนการใช้งานจริงขับแบบไม่ยั้งดังที่เราเล่ามาทั้งหมด ถ้าผู้เขียนดูตัวเลขไม่ผิด หน้าจอระบุ 8.5 กม./ลิตร ถือว่า ไม่ขี้เหร่แต่อย่างใด
เหมาะกับใคร
ผู้บริหารที่ชอบการลุย รักการเดินทาง ขับรถเอง อยากได้รถออฟโรดที่ขับสนุก และต้องไม่ทิ้งความสบายในห้องโดยสาร X5 xDrive45e M Sport คือคำตอบ ที่มาพร้อมกับความประหยัดซึ่งหากขับไปทำงานไม่เกินวันละ 60 กม. คุณแทบไม่ต้องเติมน้ำมันเลย เพียงแค่กลับถึงบ้านแล้วชาร์จไฟทิ้งเอาไว้ เช้าตื่นมาพร้อมลุยได้ทันที