หลังจากที่เกิดความเปลี่ยนแปลงและทำให้มีทางแยกที่ห่างจากพี่น้องร่วมสายพันธุ์อย่าง เล็กซัส RX เมื่อปี 2009 แต่สุดท้าย โตโยต้า ก็ยังเดินหน้าลุยตลาด SUV ระดับหรูด้วยชื่อ แฮรริเออร์ (Harrier) เหมือนเดิม โดยมีการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับ RX ของ เล็กซัส อีกต่อไปแล้วในแง่พื้นฐานทางวิศวกรรม และเน้นรุกตลาดในญี่ปุ่นเหมือนเดิม
แฮรริเออร์ ถือเป็น SUV ระดับ D-Segment ที่แชร์พื้นฐานร่วมกับรถยนต์ครอบครัวอย่าง โตโยต้า คัมรี่ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะผ่านการนำเข้า เพราะรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 1998 นั้นเน้นการทำตลาดในญี่ปุ่นโดยเป็น JDM มาโดยตลอด ส่วนหน้าที่ของการเจาะตลาดต่างประเทศนั้นเป็นงานของ เล็กซัส RX
อย่างไรก็ตาม จุดแยกจากกันของ แฮรริเออร์ กับ RX เกิดขึ้นในปี 2009 หรือเจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งจากการที่ เล็กซัส ถูกส่งเข้ามาทำตลาดในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005 ทำให้รถยนต์หลายรุ่นจำเป็นต้องแยกจากกันในแง่ของพื้นฐานทางวิศวกรรมเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับ JDM ในญี่ปุ่น (เพราะในช่วงนั้นรถยนต์ส่วนใหญ่ของ เล็กซัส คือ นำโมเดลที่ขายในญี่ปุ่นเท่านั้นมาเปลี่ยนโลโก้และชื่อรุ่น) ซึ่ง RX กับ แฮรริเออร์ ก็ต้องเจอทางแยก โดย RX แยกไปพัฒนาเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่เน้นทำตลาดในกลุ่ม D-Segment ระดับหรูเหมือนเดิมและเปิดตัวเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ใหม่ออกมา ส่วนแฮรริเออร์ ก็ยังไม่เปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 3 แต่ลากยาวในการทำตลาดของเจนเนอเรชั่นที่ 2 จนถึงปี 2013 จึงค่อยเปิดตัวโมเดลเชนจ์ และคราวนี้เป็นรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ RX แต่เป็น SUV ที่ถูกพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ RAV4 นั่นเท่ากับว่าระดับตลาดและขนาดตัวถังของแฮรริเออร์ เจนเนอเรชั่นที่ 3 ลดลงจาก 2 รุ่นที่ผ่านมา
แน่นอนว่าแนวคิดนี้ยังคงส่งผลถึงเจนเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของ แฮรริเออร์ ซึ่งพวกเขาเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อเดือนเมษายน 2020 ซึ่งรุ่นใหม่ยังคงแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับ SUV ขนาดคอมแพ็กต์อย่าง RAV4 แต่ถูกปรับให้มีความหรูหรามากกว่า เรียกว่าอัพระดับตลาดให้เหนือขึ้นในแง่ของหน้าตา สเป็ก และการตกแต่งในรุ่นใหม่ใช้รหัส XU80 ซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมในรหัส XU60 โดยในรุ่นนี้มากับตัวถังแบบ 5 ประตูที่มีความยาว 4,740 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,660 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,690 มิลลิเมตร โดยมีการผลิตอยู่ที่เดียวในเมือง ไอจิ ประเทศญี่ปุ่น
เครื่องยนต์ที่จะเปิดตัวทำตลาดในช่วงแรกมี 2 รุ่นบนพื้นฐานของขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ซึ่งรุ่นแรกคือ M20A-KFX แบบเบนซินที่มีความจุ 2,000 ซีซี กำลังสูงสุด 171 แรงม้าจับคู่กับเกียร์ CVT แบบ Direct Shift และอีกรุ่นเป็นไฮบริดในรหัส A25A-FXS ใช้พื้นฐานของเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี ด้านหลังจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 53 แรงม้าช่วยในการขับเคลื่อนในแบบ 4 ล้อ รีดกำลังออกมาได้ 225 แรงม้า โดยจะจับคู่กีบเกียร์ eCVT
การทำตลาดจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2020 นี้ ส่วนราคายังไม่เปิดเผยออกมา เช่นเดียวกับสเป็กอย่างละเอียดของตัวรถ และแน่นอนว่านี่คืออีกโมเดลที่เป็น JDM ที่จะขายเฉพาะในญี่ปุ่น ดังนั้น ใครที่อยากได้ อาจจะต้องพึ่งพาการนำเข้าเหมือนกับที่บ้านเราคุ้นเคยกันในเจนเนอเรชั่นแรกของ แฮรริเออร์