เมอร์เซเดส-เบนซ์ จ่อถอดใจ พับแผนการลงทุน ประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ย้ายฐานไปลงที่จีนแทน เหตุภาครัฐไทยพิจารณาล่าช้า และให้นำเข้ารถทำตลาดน้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการทำธุรกิจได้ ร้องขอ 300-500 คัน แต่อนุมัติเพียงไม่กี่สิบคัน ระบุเลื่อนแผนทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก EQC ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
นายโรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากบริษัทฯ ได้ยื่นแผนขอสนับสนุนการลงทุนกับ บีโอไอ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งในการเจรจารายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ นั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยกเว้นในเรื่องของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่อนุมัติให้บริษัทฯ นำเข้ามาจำหน่าย ซึ่งรัฐระบุให้จำนวนที่น้อยเกินไป
ภาครัฐอนุญาตให้นำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาโดยปลอดภาษีอากรนำเข้า (80%) ในช่วงแรกก่อนที่โรงงานจะแล้วเสร็จเป็นจำนวน ไม่ถึงร้อยคัน แต่ในแง่ของการทำธุรกิจแล้ว ไม่สามารถนำเข้าในจำนวนที่น้อยเช่นนั้นได้ เนื่องจากจะไม่คุ้มค่าการลงทุน ซึ่งทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ลงทุนเป็นมูลค่านับพันล้านบาท เพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
“เราต้องการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าราว 300-500 คัน เพื่อเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ และตอบสนองความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของลูกค้าชาวไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าสูงมากโดยเฉพาะรถยนต์แบบปลั้กอินไฮบริด PHEV ซึ่งบริษัทฯแม่เองให้ความสำคัญจึงอนุมัติเงินลงทุนมาให้” นายโรลันด์กล่าว
ทั้งนี้ หากภาครัฐยังคงดึงเรื่องไว้ ไม่รีบพิจารณาตามความเหมาะสมและเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องเลื่อนแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า รุ่น อีคิวซี ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากเดิมที่เคยประกาศเอาไว้ว่าจะทำตลาดได้ทันในปีนี้
นายโรลันด์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าจากประเทศจีน ที่นำเข้ามาทำตลาดได้โดยได้รรับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีนำเข้า แต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนประกอบในประเทศไทย ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้มีความยุติธรรมกับผู้ลงทุนในประเทศไทยด้วย
“หากบริษัทฯ แม่ ถามกลับมาว่า ทำไมแผนการลงทุนในไทยจึงล่าช้า และเราตอบไปตามความเป็นจริง บริษัทฯ แม่ อาจจะพิจารณา ยกเลิกแผนการลงทุนในไทย แล้วย้ายไปลงทุนในจีนแทน จากนั้นส่งรถกลับมาขายในประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรนำเข้า ซึ่งหากเป็นแบบนี้ ประเทศไทยจะเสียโอกาสอย่างมาก”