เปิดตัวปุ๊ปจัดเทสต์ปั๊ป “ยามาฮ่า แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด” มอเตอร์ไซค์ไฮบริดที่ทำตลาดรุ่นแรกในไทย เผยโฉมพร้อมวางจำหน่ายทันที เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ด้วยตัวเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Standard ราคา 55,500 บาท และรุ่น ABS ราคา 62,000 บาท
สุดสัปดาห์ที่แล้ว ค่ายส้อมเสียงยกทัพสื่อมวลชนสายสองล้อเกือบ 30 ชีวิต เดินทางไปร่วมทดสอบขับขี่กันที่เขาใหญ่ เส้นทางจากรีสอร์ทคีรีมายามุ่งหน้าสู่ร้านอาหารแดรี่โฮม รวมระยะทางไป-กลับ และแวะจุดถ่ายภาพประมาณ 100 กิโลเมตร
ก่อนเล่าถึงสัมผัสแรกหลังการขับขี่ มาไล่เรียงข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถกันหน่อย
แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด ออโตเมติกแฟชั่นพรีเมียม โมเดลใหม่รุ่นที่ 4 ของยามาฮ่า จากทั้งหมด 6 รุ่นซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปีนี้ เข้ามาทำตลาดแทนรุ่นเดิมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ด้วยยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 คันต่อเดือน ส่วนรุ่นไฮบริดเป็นการต่อยอดเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 คันต่อเดือน
“คำว่าไฮบริดมีความหมายว่า เป็นการนำพลังงานจาก 2 แหล่งมาช่วยขับเคลื่อนตัวรถ” ทาเคชิ นิชิมูระ หัวหน้าผู้ดูแลโปรเจกต์การพัฒนารถรุ่นนี้ เผยถึงคำนิยามของเทคโนโลยีใหม่ในวันแถลงข่าวเปิดตัว
สำหรับเทคโนโลยีดังกล่าว คือ การนำ SMG (SMART MOTOR GENERATOR) ที่ควบคุมผ่านกล่อง SGCU (STARTER GENERATOR CONTROL UNIT) ให้เข้ามาช่วยทำหน้าที่เสริมไปกับขุมพลังขับเคลื่อนหลักอย่าง เครื่องยนต์บลูคอร์ แบบสูบเดียวขนาด 125 ซีซี. ในช่วงการออกตัวหรือจากรถที่หยุดนิ่งอยู่
โดยตัวช่วยที่ว่ามีผลทำให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
การทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพื่อสั่งงานให้มอเตอร์ช่วยดันเพลาข้อเหวี่ยง ตัวระบบจะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อผู้ขับขี่บิดคันเร่งแบบทันทีทันใดในช่วงออกตัว ย้ำว่าในช่วงออกตัวเท่านั้น โดยจะทำงานเป็นเวลาประมาณ 3 วินาที หลังจากนั้นพลังขับเคลื่อนของตัวรถจะใช้จากเครื่องยนต์ล้วน
ทั้งนี้ เมื่อแบตเตอรี่ต้องรับภาระหนักขึ้นในการกักเก็บและจ่ายกระแสไฟ ดังนั้น แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด จึงต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่จากเดิมที่มีแรงดันไฟฟ้า 12 โวลต์ ความจุ 3 แอมป์ ราคาต่อหน่วยประมาณ 500 บาท เปลี่ยนเป็นความจุ 5 แอมป์(แรงดันเท่าเดิม) ในราคาประมาณ 900 บาท
ว่าแล้วก็มาเข้าเรื่องการทดสอบที่ประเด็นนี้กันก่อน แรงบิดที่เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ จากแรงบิดสูงสุด 9.9 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที บอกเล่ากันอย่างตรงไปตรงมา สำหรับผมไม่สามารถสัมผัสถึงแรงช่วยที่ว่านี้เลยครับ
“ไม่แปลกที่จะไม่รู้สึก ข้อแรก ด้วยกำลังที่ส่งมาช่วยมันไม่ได้เยอะมากอยู่แล้ว และข้อสอง ช่วงเวลาที่ระบบทำงานเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะด้วยข้อจำกัดของกำลังและความจุของแบตเตอรี่แบบตะกั่ว ที่เราเลือกใช้เพื่อเน้นการดูแลรักษาง่าย และไม่ต้องการให้ต้นทุนราคาสูงขึ้นจนเกินกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า” กัมพล พรสูงส่ง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ให้คำอธิบายเมื่อผมบอกความรู้สึกตัวเองหลังเสร็จสิ้นการขับขี่
“ถามว่าใส่แบตฯ ลิเทียมไอออนได้มั้ย ใส่ได้ครับ และเรามีทดลองใส่ระหว่างพัฒนาตัวรถแล้วด้วย แต่ราคาปัจจุบันค่อนข้างสูง ถ้าใส่แล้วผู้บริโภคจะแบกรับราคาไหวหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และฝ่ายการตลาดต้องตัดสินใจ”
ดังนั้น แทนที่จะมุ่งไปที่สมรรถนะเพียงอย่างเดียว สองล้อไฮบริดที่ทำตลาดรุ่นแรกในไทย จึงพยายามให้น้ำหนักไปที่เรื่องราวของความประหยัดควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการออกตัวของรถออโตเมติกที่ต้องอาศัยกำลังเครื่องยนต์และเป็นช่วงที่กินน้ำมันมากที่สุด รวมถึงจุดขายฟังก์ชั่นใหม่อย่าง STOP & START SYSTEM ที่จะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดหยุดนิ่งเกิน 5 วินาที อันนำมาซึ่งผลลัพธ์ความประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ไม่มีระบบนี้
นอกจากเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นใหม่แล้ว ยังมีการปรับโฉมใหม่รอบคัน ไฟหน้า-ท้ายแบบ LED เรือนไมล์จอสี TFT ช่องเสียบชาร์จมือถือ ชุดบอดี้เรียบเนียนไร้น๊อตบริเวณรอยต่อ กุญแจ SMART SYSTEM และระบบเบรกเอบีเอส(ออฟชั่น 2 อย่างหลังเฉพาะรุ่น ABS)
อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดเรื่องการช่วยส่งแรงออกตัวไปก่อน ยอมรับว่า แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด ให้การขับขี่โดยรวมที่ประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว ช่วงล่างนั่งนุ่มขี่สบาย ควบคุมง่ายคล่องตัว ใต้เบาะพื้นที่ใส่ของกว้าง อัตราเร่งในช่วงความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำได้ดีเกินคาดในคลาสออโตเมติกพิกัด 125 ซีซี.
ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันก็เหลือเชื่อ จากระยะทางรวมทริปนี้กว่า 100 กิโลเมตร ตัวเลขแสดงบนหน้าจอเฉลี่ยอยู่ที่ 63.8 กิโลเมตรต่อลิตร
ไฮบริดยามาฮ่าช่วยออกตัวขนาดไหน ขี่แล้วไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ดูสมาร์ทขึ้นเยอะ.
สุดสัปดาห์ที่แล้ว ค่ายส้อมเสียงยกทัพสื่อมวลชนสายสองล้อเกือบ 30 ชีวิต เดินทางไปร่วมทดสอบขับขี่กันที่เขาใหญ่ เส้นทางจากรีสอร์ทคีรีมายามุ่งหน้าสู่ร้านอาหารแดรี่โฮม รวมระยะทางไป-กลับ และแวะจุดถ่ายภาพประมาณ 100 กิโลเมตร
ก่อนเล่าถึงสัมผัสแรกหลังการขับขี่ มาไล่เรียงข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถกันหน่อย
แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด ออโตเมติกแฟชั่นพรีเมียม โมเดลใหม่รุ่นที่ 4 ของยามาฮ่า จากทั้งหมด 6 รุ่นซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในปีนี้ เข้ามาทำตลาดแทนรุ่นเดิมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ด้วยยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 คันต่อเดือน ส่วนรุ่นไฮบริดเป็นการต่อยอดเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าให้กับตัวรถ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 คันต่อเดือน
“คำว่าไฮบริดมีความหมายว่า เป็นการนำพลังงานจาก 2 แหล่งมาช่วยขับเคลื่อนตัวรถ” ทาเคชิ นิชิมูระ หัวหน้าผู้ดูแลโปรเจกต์การพัฒนารถรุ่นนี้ เผยถึงคำนิยามของเทคโนโลยีใหม่ในวันแถลงข่าวเปิดตัว
สำหรับเทคโนโลยีดังกล่าว คือ การนำ SMG (SMART MOTOR GENERATOR) ที่ควบคุมผ่านกล่อง SGCU (STARTER GENERATOR CONTROL UNIT) ให้เข้ามาช่วยทำหน้าที่เสริมไปกับขุมพลังขับเคลื่อนหลักอย่าง เครื่องยนต์บลูคอร์ แบบสูบเดียวขนาด 125 ซีซี. ในช่วงการออกตัวหรือจากรถที่หยุดนิ่งอยู่
โดยตัวช่วยที่ว่ามีผลทำให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
การทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพื่อสั่งงานให้มอเตอร์ช่วยดันเพลาข้อเหวี่ยง ตัวระบบจะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อผู้ขับขี่บิดคันเร่งแบบทันทีทันใดในช่วงออกตัว ย้ำว่าในช่วงออกตัวเท่านั้น โดยจะทำงานเป็นเวลาประมาณ 3 วินาที หลังจากนั้นพลังขับเคลื่อนของตัวรถจะใช้จากเครื่องยนต์ล้วน
ทั้งนี้ เมื่อแบตเตอรี่ต้องรับภาระหนักขึ้นในการกักเก็บและจ่ายกระแสไฟ ดังนั้น แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด จึงต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่จากเดิมที่มีแรงดันไฟฟ้า 12 โวลต์ ความจุ 3 แอมป์ ราคาต่อหน่วยประมาณ 500 บาท เปลี่ยนเป็นความจุ 5 แอมป์(แรงดันเท่าเดิม) ในราคาประมาณ 900 บาท
ว่าแล้วก็มาเข้าเรื่องการทดสอบที่ประเด็นนี้กันก่อน แรงบิดที่เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ จากแรงบิดสูงสุด 9.9 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที บอกเล่ากันอย่างตรงไปตรงมา สำหรับผมไม่สามารถสัมผัสถึงแรงช่วยที่ว่านี้เลยครับ
“ไม่แปลกที่จะไม่รู้สึก ข้อแรก ด้วยกำลังที่ส่งมาช่วยมันไม่ได้เยอะมากอยู่แล้ว และข้อสอง ช่วงเวลาที่ระบบทำงานเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะด้วยข้อจำกัดของกำลังและความจุของแบตเตอรี่แบบตะกั่ว ที่เราเลือกใช้เพื่อเน้นการดูแลรักษาง่าย และไม่ต้องการให้ต้นทุนราคาสูงขึ้นจนเกินกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า” กัมพล พรสูงส่ง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ให้คำอธิบายเมื่อผมบอกความรู้สึกตัวเองหลังเสร็จสิ้นการขับขี่
“ถามว่าใส่แบตฯ ลิเทียมไอออนได้มั้ย ใส่ได้ครับ และเรามีทดลองใส่ระหว่างพัฒนาตัวรถแล้วด้วย แต่ราคาปัจจุบันค่อนข้างสูง ถ้าใส่แล้วผู้บริโภคจะแบกรับราคาไหวหรือไม่ นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และฝ่ายการตลาดต้องตัดสินใจ”
ดังนั้น แทนที่จะมุ่งไปที่สมรรถนะเพียงอย่างเดียว สองล้อไฮบริดที่ทำตลาดรุ่นแรกในไทย จึงพยายามให้น้ำหนักไปที่เรื่องราวของความประหยัดควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการออกตัวของรถออโตเมติกที่ต้องอาศัยกำลังเครื่องยนต์และเป็นช่วงที่กินน้ำมันมากที่สุด รวมถึงจุดขายฟังก์ชั่นใหม่อย่าง STOP & START SYSTEM ที่จะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดหยุดนิ่งเกิน 5 วินาที อันนำมาซึ่งผลลัพธ์ความประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่ไม่มีระบบนี้
นอกจากเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นใหม่แล้ว ยังมีการปรับโฉมใหม่รอบคัน ไฟหน้า-ท้ายแบบ LED เรือนไมล์จอสี TFT ช่องเสียบชาร์จมือถือ ชุดบอดี้เรียบเนียนไร้น๊อตบริเวณรอยต่อ กุญแจ SMART SYSTEM และระบบเบรกเอบีเอส(ออฟชั่น 2 อย่างหลังเฉพาะรุ่น ABS)
อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดเรื่องการช่วยส่งแรงออกตัวไปก่อน ยอมรับว่า แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด ให้การขับขี่โดยรวมที่ประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว ช่วงล่างนั่งนุ่มขี่สบาย ควบคุมง่ายคล่องตัว ใต้เบาะพื้นที่ใส่ของกว้าง อัตราเร่งในช่วงความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำได้ดีเกินคาดในคลาสออโตเมติกพิกัด 125 ซีซี.
ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันก็เหลือเชื่อ จากระยะทางรวมทริปนี้กว่า 100 กิโลเมตร ตัวเลขแสดงบนหน้าจอเฉลี่ยอยู่ที่ 63.8 กิโลเมตรต่อลิตร
ไฮบริดยามาฮ่าช่วยออกตัวขนาดไหน ขี่แล้วไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ดูสมาร์ทขึ้นเยอะ.