“ฟอร์ด” เปิด “เอเวอร์เรสต์ ใหม่” SUV แกร่ง อึดเต็มพิกัด อัพขุมพลังดีเซลไบเทอร์โบ เกียร์ออโต 10 สปีด ตอกย้ำผู้นำด้านเทคโนโลยี เปิดจองวันนี้ ส่งมอบ ส.ค. ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท จากราคาเดิม 1.359 ล้านบาท ขณะทีตัวท็อป 1.799 ล้านบาท
ยุคนธร วิเศษโกสิน ประธาน ฟอร์ด อาเซียน และกรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผยถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ “เอเวอร์เรสต์ใหม่” อย่างเป็นทางการ ว่า ฟอร์ด มุ่งยกระดับการขับขี่ รถอเนกประสงค์ขนาดกลาง ด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ทั้งแบบออฟโรดและออนโรด ด้วยการผสานเทคโนโลยี ดีไซน์ และห้องโดยสารที่หรูหราและสะดวกสบายมากขึ้น โดยเปิดรับจองตั้งแต่วันนี้ และพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า ตั้งแต่ ส.ค.61 เป็นต้นไป
“เอเวอเรสต์ ใหม่ สานต่อความโดดเด่นจาก เอเวอเรสต์ รุ่นปัจจุบัน ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไทย โดยนำความคิดเห็นมาพัฒนาประสิทธิภาพ สมรรถนะ และความสะดวกสบาย ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมตอกย้ำความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีสมรรถนะและความปลอดภัยที่สุดในตลาด
เอเวอเรสต์ เจเนอเรชั่นใหม่” เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2558 และได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี จากสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท) ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า “เอเวอเรสต์ ใหม่” จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างแน่นอน”
-เหนือชั้นด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัย
“เอเวอเรสต์ ใหม่” ตอกย้ำความแข็งแกร่งของรถยนต์อเนกประสงค์ ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี คุณภาพของอุปกรณ์ และสมรรถนะที่ได้รับการพัฒนาอีกขั้น เพื่อมอบประสิทธิภาพและความตล่องตัวสำหรับการขับขี่ในเมือง หากคงความแข็งแกร่งสมบุกสมบันในสไตล์ออฟโรด
“เอเวอเรสต์ ไทเทเนี่ยม พลัส ใหม่” มาพร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
-สะดวกสบายด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
เอเวอร์เรสต์ใหม่ มาพร้อมความสะดวกสบาย ด้วยฟีเจอร์ใหม่มากมาย เช่น ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) นับเป็นครั้งแรกสำหรับการติดตั้งในรถยนต์ระดับนี้, ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี เพียงยื่นเท้าใต้กันชน ประตูท้ายจะเปิดอัตโนมัติ กุญแจรีโมทอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และขึ้นลงรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม
สำหรับ เอเวอร์เรสต์ ทุกรุ่น จะติดตั้งระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) มาพร้อมระบบจดจำเสียงและระบบสั่งงานเสียงภาษีไทย รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว และกล้องมองหลัง ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถ เมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ รวมทั้งระบบช่วยโทรฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ ด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย อาทิ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System), ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control), ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist), ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากช่องจอด (Cross Traffic Alert) และกล้องมองหลังขณะถอยจอด กับสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (Rear View Camera and Sensors)
-ดีไซน์เพื่อการใช้งาน
“เอเวอเรสต์ ใหม่” โดดเด่นด้วยดีไซน์กระจังหน้าใหม่ และไฟหน้า HID ที่ส่องสว่างกว่าไฟหน้าทั่วไป พร้อมล้อแมกซ์อัลลอยแบบก้านคู่ (Split-Spoke) ขนาด 20 นิ้ว ที่ช่วยเสริมให้รถดูดุดันและหรูหราอย่างมีระดับ
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยโทนสีดำ มอบความหรูหราให้แก่ห้องโดยสาร และยังเสริมความโดดเด่นด้วยเส้นสายรอบคัน อีกทั้งเพิ่มความนุ่มนวลของจุดสัมผัสต่างๆ ในห้องโดยสาร เพื่อความรู้สึกหรูหราและสะดวกสบายในการใช้งาน
-ขุมพลังที่เหนือกว่า
เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ (Bi-turbo Diesel Engine) และระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า (157 กิโลวัตต์) เพื่อการขับขี่ที่คล่องตัวและนุ่มนวลยิ่งขึ้น พร้อมลดเสียงรบกวนจากการทำงานของเครื่องยนต์ไปในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ เครื่องยนต์ไบเทอร์โบยังสามารถกระจายแรงบิดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตันเมตร ที่ความเร็ว 1750 รอบต่อนาที ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งกำลังและเร่งความเร็ว ช่วยให้การขับรถบนทางลาด เช่น การขับรถขึ้นภูเขาที่ลื่นและลาดชันง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร และระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด คือ การยกระดับมาตรฐานการพัฒนาสมรรถนะและศักยภาพการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและแบบออฟโรด” จอห์น วิลเลมส์ หัวหน้าหน่วยวิศวกรรม ฟอร์ดเอเวอเรสต์ กล่าว
-ต้นแบบแห่งความเหนือชั้น
ศักยภาพในการขับขี่แบบออฟโรดของ เอเวอเรสต์ ใหม่ มาพร้อมความคล่องตัวในการขับขี่บนทางเรียบและความสะดวกสบาย ปราศจากเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร โดย เอเวอเรสต์ ทุกรุ่น ได้รับการพัฒนาระบบกันสะเทือน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมรถยนต์ได้อย่างง่ายดายและมั่นใจยิ่งขึ้นในทุกสภาพถนน
ระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอก (Active Noise Cancellation) ทำให้ห้องโดยสารไม่มีเสียงรบกวนจากภายนอก ในขณะที่กระบวนการวิศวกรรมออกแบบให้ความสำคัญกับการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์และระบบเกียร์ พร้อมพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับราคา ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ ใหม่
-รุ่นไทเทเนี่ยม พลัส เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,799,000 บาท
-รุ่นไทเทเนี่ยม พลัส เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,599,000 บาท
-รุ่นไทเทเนี่ยม เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,439,000 บาท
-และรุ่นเทรนด์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,299,000 บาท
ทั้งนี้ ราคา เอเวอร์เรสต์ รุ่น เทรนต์ เป็นรุ่นเริ่มต้น ได้ตั้งราคาต่ำกว่ารุ่นเดิมถึง 60,000 บาท เนื่องจากฟอร์ด ต้องการที่จะขยายฐานลูกค้าระดับล่างเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาด PPV ที่ระดับราคาจะอยู่ระหว่าง 1.3-1.5 ล้านบาท และมีสัดส่วนในตลาดในกลุ่มนี้สูงถึง 40%
พร้อมมีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ Diffused Silver Metallic และสีมาตรฐาน ได้แก่ Aluminum Metallic, Absolute Black Metallic, Arctic White, Sunset Metallic และ Blue Reflex Metallic โดยลูกค้าที่ซื้อรถยนต์รุ่นดังกล่าว จะได้รับความคุ้มค่าและสะดวกสบาย ด้วยฟรี! ค่าแรงบริการตรวจเช็คตามระยะทาง 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร เพียงตรวจเช็คระยะทุก 15,000 กม. หรือทุก 1 ปี