แจ้งเกิดในเมืองไทยอย่างเป็นทางการสำหรับรถไฟฟ้า แบบปลั๊กอิน (PHEV) หลังค่ายรถหรู 4 แบรนด์หลักประสานเสียงพร้อมนำรถเข้ามาทำตลาดก่อนตัดปัญหา ไก่กับไข่ เริ่มด้วยค่ายดาวสามแฉก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ที่ขึ้นไลน์ประกอบรถแบบปลั๊กอินเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเยอรมัน นำทัพด้วยรถธง เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส 500อี
ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์เปิดขาย เอส 500 อี ครั้งแรกช่วงต้นปี ล่าสุดมีรุ่นย่อย 3 รุ่น เคาะราคาขายเริ่มต้น 5.99 บ้าน ถูกลงกว่าโมเดลก่อนหน้าเล็กน้อย ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งในแบบเอนกประสงค์ ทำตลาดในรุ่น จีแอลอี ซึ่งใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับรุ่นเอส-คลาส อาจจะแตกต่างไปบ้างในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานทั้งนี้เป็นผลมาจากรูปทรงของรถและระบบขับเคลื่อน ที่จีแอลอีมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 2 รุ่นย่อย
สำหรับรุ่นเล็กอย่าง ซี-คลาส มากับหลากหลายทางเลือกทั้งตัวถังซีดานและแบบเอสเตส 5 ประตู ถือว่าเป็นรถแบบปลั๊กอินที่ราคาถูกที่สุดที่สามารถคบหาได้ในเวลานี้ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2.64 ล้านบาท และมีถึง 4 รุ่นย่อย รวมแล้วเมอร์เซเดส-เบนซ์มีรถแบบปลั๊กอินให้เลือกคบถึง 9 รุ่นย่อยเลยทีเดียว
ขณะที่คู่แข่งร่วมชาติอย่างบีเอ็มดับเบิ้ลยู ซึ่งนำตลาดด้วยการเปิดตัวรุ่น ไอ8 รถสปอร์ตปลั๊กอิน ที่สามารถสร้างกระแสตอบรับและการรับรู้ได้เป็นวงกว้าง ด้วยรูปทรงที่เป็นสปอร์ตล้ำยุค รวมไปถึงการที่ วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ของอังกฤษ ซื้อ ไอ8 แจกนักเตะทุกคนเพื่อเป็นโบนัสสำหรับการช่วยกันคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีคได้สำเร็จ ก็สร้างกระแสได้ไม่น้อย
นอกจากนั้น ค่ายใบพัดฟ้าขาวยังทำตลาดด้วยรุ่น เอ็กซ์5 เอ็กไดร์ฟ40อี เอ็มสปอร์ต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชอบรถเอนกประสงค์ เพราะข้อดีที่สุดของรถแบบปลั๊กอินไฮบริดคือ อัตราการบริโภคน้ำมันที่ประหยัดกว่ารถแบบเครื่องยนต์ปกติกว่าเท่าตัว
ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือรุ่น 330 อี รถแบบซีดานที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับเหล่าบิมเมอร์ทั้งหลาย ด้วยเอกลักษณ์การขับขี่เฉพาะตัวของซีรี่ส์ 3 ตอบโจทย์ความแรงและความสนุกในการขับขี่ได้ครบถ้วน บนค่าตัวที่สามารถคบหาได้ง่าย
ด้านปอร์เช่ ทำตลาด 2 รุ่นหลักคือ พานาเมร่า และคาเยนน์ โดยในรุ่น พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด เปิดตัวด้วยราคาเพียง 9.8 ล้านบาท ถือว่าย่อมเยากว่าพานาเมร่ารุ่นย่อยอื่นๆ ส่วนคาเยนน์ ล่าสุดปอร์เช่นำ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด แพลตตินั่ม เอดิชั่น เข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษที่เพิ่งจะเปิดตัวในต่างประเทศสดๆ ร้อนๆ
ทั้งนี้นอกจากค่ายทางฝั่งเยอรมนีที่เปิดแนวรุกรถปลั๊กอินไฮบริดเต็มสุบแล้ว ทางฟากรถหรูจากสวีเดน คู่แข่งเก่าแก่อย่าง วอลโว่ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทำตลาดด้วยรถเอนกประสงค์ เอสยูวี รุ่น เอ็กซ์ซี-90 ที8 ทวิน เอ็นจิ้น ซึ่งเป็นรถปลั๊กอินที่อัดแน่นเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอันเลื่องชื่อของวอลโว่
อย่างไรก็ตามในแง่ของจุดชาร์จไฟนอกบ้านนั้น ทางบีเอ็มดับเบิ้ลยูถือว่าเป็นผู้นำในการบริการแบบนี้ ด้วยจุดชาร์จไฟ 3 แห่ง ที่เซ็นทรัล เวิลด์, ตึกออลซีซั่น และโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ส่วนปอร์เช่ มีจุดให้บริการชาร์จไฟฟรี ที่ สยามพารากอน สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ กำลังจะมีจุดให้บริการชาร์จ 3 แห่ง(เซ็นทรัลเวิลด์,พาราไดซ์ พาร์ค และสยามเซ็นเตอร์) ขณะที่วอลโว่ยังไม่มี
ส่วนของภาครัฐมีการเปิดจุดให้รถไฟฟ้าชาร์จได้ที่ การไฟฟ้า 10 สาขาทั่วกทม.และปริมณฑล โดยมีการจัดซื้อรถไฟฟ้าแล้วจำนวน 10 คันเพื่อวิ่งศึกษาการใช้งาน ขณะที่ผู้ให้บริการด้านเชื้อเพลิงอย่าง ปตท. เองก็มีการนำร่องเปิดสถานีชาร์จไฟจำนวน 6 แห่งแล้วในปัจจุบัน
เหนืออื่นใด นโยบายของภาครัฐขณะนี้ เดินหน้าสนับสนุนในเรื่องของรถไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยมีกระแสข่าวของการสนับสนุนด้านภาษีจากบีโอไอ ที่มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ซึ่งตัวเลขจะมากน้อยเพียงใดคงต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งนี้ภาครัฐได้เรียกค่ายรถที่มีรถไฟฟ้าหรือสนใจเข้าหารือและให้ยื่นแผนการผลิตประกอบการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
ถึงบรรทัดนี้ ด้วยจำนวนรถขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 4 แบรนด์ 9 รุ่นหลัก 15 รุ่นย่อย ซึ่งยังไม่นับรวมรถแบรนด์อื่นๆที่นำรถไฟฟ้าเข้ามาแต่ยังไม่ขาย ทิศทางยานยนต์ของไทยในอนาคต คงหนีไม่พ้นรถไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่รถใช้พลังงานน้ำมันอย่างแน่นอน ส่วนจะเร็วหรือช้าเพียงใด คงจะขึ้นกับการตอบรับของผู้บริโภคและเทคโนโลยีว่าจะพัฒนาได้เร็วขนาดไหน
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์เปิดขาย เอส 500 อี ครั้งแรกช่วงต้นปี ล่าสุดมีรุ่นย่อย 3 รุ่น เคาะราคาขายเริ่มต้น 5.99 บ้าน ถูกลงกว่าโมเดลก่อนหน้าเล็กน้อย ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งในแบบเอนกประสงค์ ทำตลาดในรุ่น จีแอลอี ซึ่งใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับรุ่นเอส-คลาส อาจจะแตกต่างไปบ้างในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานทั้งนี้เป็นผลมาจากรูปทรงของรถและระบบขับเคลื่อน ที่จีแอลอีมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 2 รุ่นย่อย
สำหรับรุ่นเล็กอย่าง ซี-คลาส มากับหลากหลายทางเลือกทั้งตัวถังซีดานและแบบเอสเตส 5 ประตู ถือว่าเป็นรถแบบปลั๊กอินที่ราคาถูกที่สุดที่สามารถคบหาได้ในเวลานี้ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 2.64 ล้านบาท และมีถึง 4 รุ่นย่อย รวมแล้วเมอร์เซเดส-เบนซ์มีรถแบบปลั๊กอินให้เลือกคบถึง 9 รุ่นย่อยเลยทีเดียว
ขณะที่คู่แข่งร่วมชาติอย่างบีเอ็มดับเบิ้ลยู ซึ่งนำตลาดด้วยการเปิดตัวรุ่น ไอ8 รถสปอร์ตปลั๊กอิน ที่สามารถสร้างกระแสตอบรับและการรับรู้ได้เป็นวงกว้าง ด้วยรูปทรงที่เป็นสปอร์ตล้ำยุค รวมไปถึงการที่ วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ของอังกฤษ ซื้อ ไอ8 แจกนักเตะทุกคนเพื่อเป็นโบนัสสำหรับการช่วยกันคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีคได้สำเร็จ ก็สร้างกระแสได้ไม่น้อย
นอกจากนั้น ค่ายใบพัดฟ้าขาวยังทำตลาดด้วยรุ่น เอ็กซ์5 เอ็กไดร์ฟ40อี เอ็มสปอร์ต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชอบรถเอนกประสงค์ เพราะข้อดีที่สุดของรถแบบปลั๊กอินไฮบริดคือ อัตราการบริโภคน้ำมันที่ประหยัดกว่ารถแบบเครื่องยนต์ปกติกว่าเท่าตัว
ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือรุ่น 330 อี รถแบบซีดานที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับเหล่าบิมเมอร์ทั้งหลาย ด้วยเอกลักษณ์การขับขี่เฉพาะตัวของซีรี่ส์ 3 ตอบโจทย์ความแรงและความสนุกในการขับขี่ได้ครบถ้วน บนค่าตัวที่สามารถคบหาได้ง่าย
ด้านปอร์เช่ ทำตลาด 2 รุ่นหลักคือ พานาเมร่า และคาเยนน์ โดยในรุ่น พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด เปิดตัวด้วยราคาเพียง 9.8 ล้านบาท ถือว่าย่อมเยากว่าพานาเมร่ารุ่นย่อยอื่นๆ ส่วนคาเยนน์ ล่าสุดปอร์เช่นำ คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด แพลตตินั่ม เอดิชั่น เข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นรุ่นตกแต่งพิเศษที่เพิ่งจะเปิดตัวในต่างประเทศสดๆ ร้อนๆ
ทั้งนี้นอกจากค่ายทางฝั่งเยอรมนีที่เปิดแนวรุกรถปลั๊กอินไฮบริดเต็มสุบแล้ว ทางฟากรถหรูจากสวีเดน คู่แข่งเก่าแก่อย่าง วอลโว่ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทำตลาดด้วยรถเอนกประสงค์ เอสยูวี รุ่น เอ็กซ์ซี-90 ที8 ทวิน เอ็นจิ้น ซึ่งเป็นรถปลั๊กอินที่อัดแน่นเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอันเลื่องชื่อของวอลโว่
อย่างไรก็ตามในแง่ของจุดชาร์จไฟนอกบ้านนั้น ทางบีเอ็มดับเบิ้ลยูถือว่าเป็นผู้นำในการบริการแบบนี้ ด้วยจุดชาร์จไฟ 3 แห่ง ที่เซ็นทรัล เวิลด์, ตึกออลซีซั่น และโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ส่วนปอร์เช่ มีจุดให้บริการชาร์จไฟฟรี ที่ สยามพารากอน สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ กำลังจะมีจุดให้บริการชาร์จ 3 แห่ง(เซ็นทรัลเวิลด์,พาราไดซ์ พาร์ค และสยามเซ็นเตอร์) ขณะที่วอลโว่ยังไม่มี
ส่วนของภาครัฐมีการเปิดจุดให้รถไฟฟ้าชาร์จได้ที่ การไฟฟ้า 10 สาขาทั่วกทม.และปริมณฑล โดยมีการจัดซื้อรถไฟฟ้าแล้วจำนวน 10 คันเพื่อวิ่งศึกษาการใช้งาน ขณะที่ผู้ให้บริการด้านเชื้อเพลิงอย่าง ปตท. เองก็มีการนำร่องเปิดสถานีชาร์จไฟจำนวน 6 แห่งแล้วในปัจจุบัน
เหนืออื่นใด นโยบายของภาครัฐขณะนี้ เดินหน้าสนับสนุนในเรื่องของรถไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยมีกระแสข่าวของการสนับสนุนด้านภาษีจากบีโอไอ ที่มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ซึ่งตัวเลขจะมากน้อยเพียงใดคงต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งนี้ภาครัฐได้เรียกค่ายรถที่มีรถไฟฟ้าหรือสนใจเข้าหารือและให้ยื่นแผนการผลิตประกอบการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
ถึงบรรทัดนี้ ด้วยจำนวนรถขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 4 แบรนด์ 9 รุ่นหลัก 15 รุ่นย่อย ซึ่งยังไม่นับรวมรถแบรนด์อื่นๆที่นำรถไฟฟ้าเข้ามาแต่ยังไม่ขาย ทิศทางยานยนต์ของไทยในอนาคต คงหนีไม่พ้นรถไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่รถใช้พลังงานน้ำมันอย่างแน่นอน ส่วนจะเร็วหรือช้าเพียงใด คงจะขึ้นกับการตอบรับของผู้บริโภคและเทคโนโลยีว่าจะพัฒนาได้เร็วขนาดไหน
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring