เป็นเวลา 5 ปีหลังจากที่อยู่ในตลาด และแล้วเราก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของมาสด้า กับการเดินหน้ารุกตลาด SUV ไซส์คอมแพกต์ต่อไป เมื่อพวกเขาเผยโฉมโมเดลเชนจ์ของ CX-5 ออกมาแล้วในเจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งยังคงความสวยและความสปอร์ตตามแบบฉบับของรถยนต์จากค่ายนี้
ย้อนความกลับไปยังรุ่นแรกของ CX-5 จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่มาสด้าเปลี่ยนเวทีในการเปิดตัว เพราะจากเดิม CX-5 คือ ผลผลิตที่ถูกส่งออกมาเพื่อมุ่งเน้นไปที่ตลาดยุโรป โดยสังเกตได้จากงานเปิดตัวทั้งต้นแบบรุ่น Minagi ในปี 2011 หรือคันจริงที่เปิดตัวออกมาในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ปลายปีเดียวกัน ซึ่งมักจะเป็นสเต็ปที่มาสด้าชอบทำอยู่เสมอ
แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้ CX-5 ถูกเปลี่ยนแนวมาเปิดตัวในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18-27 พฤศจิกายนนี้ โดยก่อนที่จะถึงวันสื่อมวลชนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทางมาสด้าตัดสินใจเผยภาพคันจริง พร้อมรายละเอียดบางอย่างออกมาให้รับทราบกันก่อน
ในแง่ของภาพลักษณ์ แน่นอนว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะเป็นโมเดลเชนจ์ โดยอ้างอิงในเชิงแนวคิดของ Design Language อย่าง KODO-Soul of Motion Design แต่ในเชิงเทคนิค มาสด้าเผยออกมาเพียงเล็กน้อย เช่นความกว้างของล้อคู่หน้า และล้อคู่หลังเพิ่มขึ้นอย่างละ 10 มิลลิเมตร การปรับตำแหน่ง A-Pillar หรือเสากระจกบังลมหน้าให้เอนไปทางด้านหลังอีก 33 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีขึ้น และความเพรียวลมของตัวรถ
ภายในยังคงยึดแนวทาง Human-machine Interface (HMI) ที่ออกแบบให้อุปกรณ์การใช้งานหลักอยู่ในตำแหน่งที่คนขับเป็นศูนย์กลางโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และให้ความสำคัญกับทุกชีวิตที่อยู่ในห้องโดยสาร ขณะที่คำว่า SKYACTIVE ยังเป็นสิ่งที่ถูกใช้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ CX-5 คือ รถยนต์โมเดลใหม่รุ่นแรกที่ถูกสร้างขึ้นจากแนวคิด SKYACTIV เกือบทั้งคัน
เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0, SKYACTIV-G 2.5 และรุ่นเทอร์โบดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ หรือธรรมดา 6 จังหวะ โดยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามภูมิภาคที่ทำตลาด นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบใหม่ล่าสุด G-Vectoring Control ที่เปิดตัวครั้งแรกกับ Mazda 3 รุ่นปรับโฉม โดยระบบนี้จะลดแรง G-forces ระหว่างเหยียบคันเร่ง, เบรก หรือเข้าโค้ง นับเป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้ระบบควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ตามการหมุนของพวงมาลัย ช่วยคำนวณการถ่ายเทน้ำหนักลงสู่ล้อแต่ละข้างตามอัตราการเร่งหรือชะลอความเร็ว
นอกจากนั้นในแง่ของความทันสมัยมีการติดตั้งระบบต่างๆ มากมาย เช่น ระบบขับเคลื่อน i-ACTIV AWD ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อหน้า ปลอดภัยด้วย i-ACTIVSENSE ที่ใช้เวอร์ชั่นล่าสุดของ Mazda Radar Cruise Control (MRCC) ที่สามารถควบคุมความเร็วของรถตามระยะห่างจากรถคันหน้า และระบบ Traffic Sign Recognition (TSR) เพื่อบอกข้อมูลป้ายสัญญาณจราจร รวมทั้งป้ายจำกัดความเร็วเพื่อส่งข้อความขึ้นบนหน้าจอ Active Driving Display
หลังจากเปิดตัวแล้วการทำตลาดของ CX-5 ใหม่ คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2017 ส่วนบ้านเราก็ต้องรอดูกันว่า จะมาเร็วขนาดไหน
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
ย้อนความกลับไปยังรุ่นแรกของ CX-5 จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่มาสด้าเปลี่ยนเวทีในการเปิดตัว เพราะจากเดิม CX-5 คือ ผลผลิตที่ถูกส่งออกมาเพื่อมุ่งเน้นไปที่ตลาดยุโรป โดยสังเกตได้จากงานเปิดตัวทั้งต้นแบบรุ่น Minagi ในปี 2011 หรือคันจริงที่เปิดตัวออกมาในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ปลายปีเดียวกัน ซึ่งมักจะเป็นสเต็ปที่มาสด้าชอบทำอยู่เสมอ
แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้ CX-5 ถูกเปลี่ยนแนวมาเปิดตัวในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18-27 พฤศจิกายนนี้ โดยก่อนที่จะถึงวันสื่อมวลชนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทางมาสด้าตัดสินใจเผยภาพคันจริง พร้อมรายละเอียดบางอย่างออกมาให้รับทราบกันก่อน
ในแง่ของภาพลักษณ์ แน่นอนว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะเป็นโมเดลเชนจ์ โดยอ้างอิงในเชิงแนวคิดของ Design Language อย่าง KODO-Soul of Motion Design แต่ในเชิงเทคนิค มาสด้าเผยออกมาเพียงเล็กน้อย เช่นความกว้างของล้อคู่หน้า และล้อคู่หลังเพิ่มขึ้นอย่างละ 10 มิลลิเมตร การปรับตำแหน่ง A-Pillar หรือเสากระจกบังลมหน้าให้เอนไปทางด้านหลังอีก 33 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีขึ้น และความเพรียวลมของตัวรถ
ภายในยังคงยึดแนวทาง Human-machine Interface (HMI) ที่ออกแบบให้อุปกรณ์การใช้งานหลักอยู่ในตำแหน่งที่คนขับเป็นศูนย์กลางโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และให้ความสำคัญกับทุกชีวิตที่อยู่ในห้องโดยสาร ขณะที่คำว่า SKYACTIVE ยังเป็นสิ่งที่ถูกใช้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ CX-5 คือ รถยนต์โมเดลใหม่รุ่นแรกที่ถูกสร้างขึ้นจากแนวคิด SKYACTIV เกือบทั้งคัน
เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0, SKYACTIV-G 2.5 และรุ่นเทอร์โบดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ หรือธรรมดา 6 จังหวะ โดยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามภูมิภาคที่ทำตลาด นอกจากนั้นยังติดตั้งระบบใหม่ล่าสุด G-Vectoring Control ที่เปิดตัวครั้งแรกกับ Mazda 3 รุ่นปรับโฉม โดยระบบนี้จะลดแรง G-forces ระหว่างเหยียบคันเร่ง, เบรก หรือเข้าโค้ง นับเป็นครั้งแรกของโลกที่ใช้ระบบควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ตามการหมุนของพวงมาลัย ช่วยคำนวณการถ่ายเทน้ำหนักลงสู่ล้อแต่ละข้างตามอัตราการเร่งหรือชะลอความเร็ว
นอกจากนั้นในแง่ของความทันสมัยมีการติดตั้งระบบต่างๆ มากมาย เช่น ระบบขับเคลื่อน i-ACTIV AWD ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อหน้า ปลอดภัยด้วย i-ACTIVSENSE ที่ใช้เวอร์ชั่นล่าสุดของ Mazda Radar Cruise Control (MRCC) ที่สามารถควบคุมความเร็วของรถตามระยะห่างจากรถคันหน้า และระบบ Traffic Sign Recognition (TSR) เพื่อบอกข้อมูลป้ายสัญญาณจราจร รวมทั้งป้ายจำกัดความเร็วเพื่อส่งข้อความขึ้นบนหน้าจอ Active Driving Display
หลังจากเปิดตัวแล้วการทำตลาดของ CX-5 ใหม่ คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2017 ส่วนบ้านเราก็ต้องรอดูกันว่า จะมาเร็วขนาดไหน
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring