ข่าวในประเทศ -
ผู้ประกอบการ ยานยนต์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเสียงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยครึ่งปีหลัง 2559 เริ่มส่งสัญญานฟื้นตัว มั่นใจยอดการผลิตและการจำหน่ายเป็นไปตามคาด ชี้รถยนต์ไฟฟ้าคือคำตอบแห่งอนาคต ในงานเสวนา “อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กับความท้าทายในครึ่งปีหลัง 2559” ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ในงาน Bangkok International Grand Motor Sale 2016 หรือ BIG Motor Sale 2016 (บิ๊ก มอเตอร์ เซล 2016)
สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (THAI AUTOMOTIVE JOURNALISTS ASSOCIATION - TAJA) จัดงานเสวนาวิชาการ ภายใต้หัวข้อ “อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กับความท้าทายในครึ่งปีหลัง 2559” ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ 2016 (Bangkok International Grand Motor Sale 2016) โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเวทีเสวนาอย่างคึกคัก
นายยุทธพงษ์ ภาษี นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) เปิดเผยว่า การเสวนาวิชาการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสมาคมฯ โดยมองเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และมีความสำคัญ ซึ่งมีปัจจัยหลายประการส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงที่ผ่านมา การเสวนาวันนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์ ร่วมช่วยหาคำตอบ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
นายจรวย ขันมณี ประธานจัดงาน มหกรรมยานยนต์เพื่อการขาย บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ 2016 (บิ๊ก มอเตอร์เซล 2016 ) กล่าวในพิธีเปิดงานเสวนาว่า แม้อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีความตกต่ำ ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็เชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมจะเริ่มดีขึ้น และงานบิ๊ก มอเตอร์เซลส์ ก็พร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์นับต่อจากนี้ไป โดยเชื่อว่าตลาดรถยนต์ในภาพรวมจะเติบโตขึ้น และมียอดจำหน่ายไม่น้อยกว่า 7.5 แสนคันอย่างแน่นอนในปีนี้
“เราคาดการณ์ว่าในงานบิ๊กจะมียอดจำหน่ายรถยนต์ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคันและรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ไม่น้อยกว่า 4,000 คัน ซึ่งลดเป้าลงจากปีที่ผ่านมา แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น การผ่านร่างประชามติรัฐธรรมนูญ หรือแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เริ่มดีขึ้น ทำให้มองว่าอาจจะมียอดจำหน่ายที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และอาจจะกลับมามียอดจำหน่ายเท่ากับปีที่ผ่านมา ที่มียอดจำหน่ายรถยนต์ 2.5 หมื่นคันและรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 5,000 คัน”
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย 7.18% ทำให้ภาพรวมของการผลิตรถยนต์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 1,147,330 คัน เติบโตที่ 4.2% โดยที่ผ่านมา ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก รวมถึงการผลิตรถยนต์นั่งที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี
“ปีนี้เราตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ที่ 1.95-2 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 1.93 ล้านคันเล็กน้อย ซึ่งหากดูจากทิศทางการผลิตแล้ว ต้องถือว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้ จากการเติบโตของภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ”
ในส่วนของการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มียอดจำหน่าย 60,635 คัน ลดลง 0.4% จากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมของยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 429,265 คัน ลดลงเล็กน้อยที่ 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ประเมินว่ายอดการผลิตที่ลดลงในเดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีผลกระทบต่อยอดจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่ายอดจำหน่ายทั้งปีที่วางไว้ 7.5 แสนคัน น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2559 น่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติที่มียอดการผลิตรถยนต์ที่ระดับ 2 ล้านคัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีหลังจากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากโครงการรถยนต์คันแรกในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดการผลิตและตลาดรถยนต์มีความผันผวนอย่างมาก
ทั้งนี้ ราคาพืชผลทางการเกษตรยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ราคาพืชผลทางเกษตรยังย่ำแย่อยู่ แต่ก็เริ่มเห็นว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงต่อจากนี้ ประกอบกับตลาดรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังมักจะมียอดจำหน่ายที่เหนือกว่าอยู่แล้ว ทำให้มองว่ามีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายรถหลายค่าย ซึ่งล้วนแล้วแต่จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงที่เหลือของปี
“ภาครัฐบาลได้มีความพยายามในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมที่จะผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าและเติบโตในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญก็คือการปรับลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานรถยนต์ ตามความต้องการของโลกที่ต้องการลดมากกว่า 90% ซึ่งจะเปิดทางให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ากลายเป็นเป้าหมายสุดท้ายในอนาคต ซึ่งประเทศไทยก็น่าจะอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในอนาคต”
นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา และเริ่มปรับตัวลดอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ก่อนจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นและเชื่อว่าจะกลับมาอยู่ในเกณฑ์ขาขึ้นในช่วงต่อจากนี้ไป ตามที่มีการคาดการณ์ว่าจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 2.5%
ในส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดจำหน่ายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมียอดจำหน่ายรวม 3 แบรนด์มากกว่า 1 หมื่นคันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในปี 2558 ขณะที่ ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2555 จนถึง 2558 ตลาดติดลบมากถึง 44% เป็นผลมาจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก แตกต่างจากตลาดรถยนต์หรูหราที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 68% ในช่วงเวลาเดียวกัน
“ปีนี้เรามีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 448 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย โดยในปัจจุบัน มีการประกอบรถยนต์มากถึง 19 รุ่น และเตรียมพร้อมที่จะประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดในประเทศไทยในครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลเชื่อว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกใหม่ อาทิ รถยนต์ไฮบริด จะเริ่มมีทิศทางเติบโตขึ้นในช่วง 4-5 ปีต่อจากนี้ ขณะที่รถยนต์ที่ใช้พลังงานรูปแบบพิเศษ อย่างเช่นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า น่าจะขยายตัวในช่วง 5-10 ปีนับจากนี้”
นางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า หากอุตสาหกรรมยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยในกลุ่มเทียร์ 2 และเทียร์ 3 ที่มีจำนวนมากกว่า 1,700 รายในประเทศไทย จากภาพรวมการส่งออกชิ้นส่วนที่หดตัวลง 4% ในปีที่ผ่านมาและอีกเกือบ 1% ว่านปีนี้ สวนทางกับการนำเข้าชิ้นส่วนที่ขยายตัวราว 6% ในปีนี้ เป็นผลจากการบุกตลาดของผู้ผลิตชิ้นส่วนราคาถูก และการปรับแผนงานของผู้ผลิตรถยนต์บางรายที่เน้นไปนำเข้าชิ้นส่วนเพิ่มมากขึ้น
“เรื่องของผู้ผลิตชิ้นส่วนนั้นมีหลายสิ่งที่ต้องคำนึง ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐว่าจะดำเนินการไปในทิศทางไหน ซึ่งแนวโน้มในการเดินหน้าไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ประกอบการ และเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ยังต้องดิ้นรนในเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องของเทคโนโลยี เรื่องการผลิต ที่จะก่อให้เกิดศักยภาพในการผลิต รวมไปถึงเรื่องของการสร้างคนขึ้นมารองรับกับอุตสาหกรรม ซึ่งหากเราต้องการพัฒนาขึ้นมาเป็นฮับของอาเซียน ที่มีการแข่งขันกันมาก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถร่วมกัน”
ทั้งนี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยมีการส่งออกรวมกันปีละกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งสูสีกับตัวเลขการส่งออกของผู้ผลิตรถยนต์ ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนมีการส่งออกปีละกว่า 1.22 ล้านล้านบาท จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญที่ต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งต้องมีการสร้างยุทธศาสตร์ขึ้นมารองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปในอนาคต
นายอนุพล ลิขิตพฤกษ์ไพศาล เลขาธิการสมาคมผู้จำหน่ายค้าปลีกรถยนต์ไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกรถยนต์ไทยมูลค่ารวมปีละมากกว่า 20 ล้านล้านบาท คิดเป็นจีดีพีประมาณ 15-20% หากคิดในกลุ่มรถยนต์ใหม่ที่คาดว่าจะจำหน่าย 7.5 แสนคัน ก็น่าจะมีมูลค่าใม่น้อนกว่า 7.5 แสนล้านบาท ซึ่งใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ทั้งนี้ หากมองภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่มียอดจำหน่ายราว 60 ล้านคัน ประเทศไทยจะมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 3% ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จากที่ตลาดรถปิกอัพเคยมีส่วนแบ่งมากถึง 70% ในปัจจุบัน ตลาดรถยนต์นั่งและตลาดรถปิกอัพมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมาก ขณะที่ตลาดรถยนต์หรูหราก็มีการเติบโตมากขึ้น และขยายตัวลงไปในตลาดระดับคอมแพคท์มากขึ้น ซึ่งนับเป็นการขยายเซกเมนต์ของธุรกิจไปตามกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา”
ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 7.5 แสนคัน โดยมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 6 หมื่นคัน แบ่งเป็นรถปิกอัพและรถยนต์นั่งอย่างละเท่ากัน ซึ่งตลาดนั้นเติบโตด้วยการทำแคมเปญของผู้ประกอบการร่วมกับผู้ประกอบการทางการเงิน ซึ่งเป็นตลาดของผู้บริโภคที่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจยานยนต์มีความคึกคักและเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ดร.พิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเชื่อว่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งแตกต่างกันไปตามแต่ละเซกเมนต์ แนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ปัจจัยที่จะเป็นบวกประกอบไปด้วย รายได้เกษตรกรเริ่มดีขึ้น กลุ่มผู้ซื้อรถยนต์คันแรกครบกำหนดการถือครอง อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวต่ำต่อเนื่องไปถึงปีหน้า รวมไปถึงการเปิดตัวโมเดลใหม่ ๆ ของค่ายรถ โดยมองว่าตลาดรถยนต์นั่งจะเติบโตได้ดีกว่า โดยที่เอสยูวีจะมีแนวโน้มการเติบโตสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวที่ช้าและเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ โดยเติบโต 2.8% ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเติบโต 3% ในปีนี้และ 3.3% ในปี 2560 ซึ่งโครงสร้างของเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายอดจำหน่ายรถยนต์แต่ละเดือนน่าจะอยู่ที่ระดับ 6.5 หมื่นคัน หรือมียอดขาย 7.5-7.6 แสนคัน ลดลงราว 5% จากปีที่ผ่านมา
สำหรับในปี 2560 เราคาดว่าตลาดรถยนต์ไทยน่าจะมีการเติบโตอย่างมาก และเชื่อว่าอาจจะกลับไปมียอดจำหน่ายได้สูงสุดถึง 8.8 แสนคันในกรณีที่ดีที่สุด หากมีการกระตุ้นตลาดที่เหมาะสมและผู้บริโภคมีความต้องการซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าการกลับมาของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตในระยะยาวอาจจะไม่แข็งแกร่งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจนั้นไม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่เชื่อว่าในช่วงปลายปีน่าจะมีการออกมาตรการใหม่ ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์มา ซึ่งน่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้กับผู้ประกอบการในการผลักดันตลาดรถยนต์ร่วมกันเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในอนาคต
พบกับกิจกรรมดีๆ สำหรับสมาชิกสมาคม และสามารถติดตามข่าวสารของ สมาคมฯ ได้ที่ www.tajathailand.com ซึ่งคณะกรรมการเปิดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างสมาชิกของสมาคมฯ และคนรักยานยนต์ทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (THAI AUTOMOTIVE JOURNALISTS ASSOCIATION - TAJA) จัดงานเสวนาวิชาการ ภายใต้หัวข้อ “อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กับความท้าทายในครึ่งปีหลัง 2559” ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ 2016 (Bangkok International Grand Motor Sale 2016) โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเวทีเสวนาอย่างคึกคัก
นายยุทธพงษ์ ภาษี นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) เปิดเผยว่า การเสวนาวิชาการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสมาคมฯ โดยมองเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และมีความสำคัญ ซึ่งมีปัจจัยหลายประการส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงที่ผ่านมา การเสวนาวันนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยานยนต์ ร่วมช่วยหาคำตอบ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
นายจรวย ขันมณี ประธานจัดงาน มหกรรมยานยนต์เพื่อการขาย บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ 2016 (บิ๊ก มอเตอร์เซล 2016 ) กล่าวในพิธีเปิดงานเสวนาว่า แม้อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีความตกต่ำ ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็เชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมจะเริ่มดีขึ้น และงานบิ๊ก มอเตอร์เซลส์ ก็พร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์นับต่อจากนี้ไป โดยเชื่อว่าตลาดรถยนต์ในภาพรวมจะเติบโตขึ้น และมียอดจำหน่ายไม่น้อยกว่า 7.5 แสนคันอย่างแน่นอนในปีนี้
“เราคาดการณ์ว่าในงานบิ๊กจะมียอดจำหน่ายรถยนต์ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคันและรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ไม่น้อยกว่า 4,000 คัน ซึ่งลดเป้าลงจากปีที่ผ่านมา แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น การผ่านร่างประชามติรัฐธรรมนูญ หรือแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เริ่มดีขึ้น ทำให้มองว่าอาจจะมียอดจำหน่ายที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และอาจจะกลับมามียอดจำหน่ายเท่ากับปีที่ผ่านมา ที่มียอดจำหน่ายรถยนต์ 2.5 หมื่นคันและรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 5,000 คัน”
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย 7.18% ทำให้ภาพรวมของการผลิตรถยนต์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 1,147,330 คัน เติบโตที่ 4.2% โดยที่ผ่านมา ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก รวมถึงการผลิตรถยนต์นั่งที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี
“ปีนี้เราตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ที่ 1.95-2 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 1.93 ล้านคันเล็กน้อย ซึ่งหากดูจากทิศทางการผลิตแล้ว ต้องถือว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปได้ จากการเติบโตของภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ”
ในส่วนของการจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มียอดจำหน่าย 60,635 คัน ลดลง 0.4% จากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมของยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 429,265 คัน ลดลงเล็กน้อยที่ 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ประเมินว่ายอดการผลิตที่ลดลงในเดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีผลกระทบต่อยอดจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่ายอดจำหน่ายทั้งปีที่วางไว้ 7.5 แสนคัน น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2559 น่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติที่มียอดการผลิตรถยนต์ที่ระดับ 2 ล้านคัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีหลังจากที่อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากโครงการรถยนต์คันแรกในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดการผลิตและตลาดรถยนต์มีความผันผวนอย่างมาก
ทั้งนี้ ราคาพืชผลทางการเกษตรยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ราคาพืชผลทางเกษตรยังย่ำแย่อยู่ แต่ก็เริ่มเห็นว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงต่อจากนี้ ประกอบกับตลาดรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังมักจะมียอดจำหน่ายที่เหนือกว่าอยู่แล้ว ทำให้มองว่ามีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จากค่ายรถหลายค่าย ซึ่งล้วนแล้วแต่จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้งในช่วงที่เหลือของปี
“ภาครัฐบาลได้มีความพยายามในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมที่จะผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าและเติบโตในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญก็คือการปรับลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานรถยนต์ ตามความต้องการของโลกที่ต้องการลดมากกว่า 90% ซึ่งจะเปิดทางให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ากลายเป็นเป้าหมายสุดท้ายในอนาคต ซึ่งประเทศไทยก็น่าจะอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกในอนาคต”
นายกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา และเริ่มปรับตัวลดอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ก่อนจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นและเชื่อว่าจะกลับมาอยู่ในเกณฑ์ขาขึ้นในช่วงต่อจากนี้ไป ตามที่มีการคาดการณ์ว่าจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 2.5%
ในส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มียอดจำหน่ายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมียอดจำหน่ายรวม 3 แบรนด์มากกว่า 1 หมื่นคันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในปี 2558 ขณะที่ ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2555 จนถึง 2558 ตลาดติดลบมากถึง 44% เป็นผลมาจากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก แตกต่างจากตลาดรถยนต์หรูหราที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 68% ในช่วงเวลาเดียวกัน
“ปีนี้เรามีการลงทุนเพิ่มเติมอีก 448 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย โดยในปัจจุบัน มีการประกอบรถยนต์มากถึง 19 รุ่น และเตรียมพร้อมที่จะประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดในประเทศไทยในครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลเชื่อว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกใหม่ อาทิ รถยนต์ไฮบริด จะเริ่มมีทิศทางเติบโตขึ้นในช่วง 4-5 ปีต่อจากนี้ ขณะที่รถยนต์ที่ใช้พลังงานรูปแบบพิเศษ อย่างเช่นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า น่าจะขยายตัวในช่วง 5-10 ปีนับจากนี้”
นางอัชณา ลิมป์ไพฑูรย์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า หากอุตสาหกรรมยานยนต์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยในกลุ่มเทียร์ 2 และเทียร์ 3 ที่มีจำนวนมากกว่า 1,700 รายในประเทศไทย จากภาพรวมการส่งออกชิ้นส่วนที่หดตัวลง 4% ในปีที่ผ่านมาและอีกเกือบ 1% ว่านปีนี้ สวนทางกับการนำเข้าชิ้นส่วนที่ขยายตัวราว 6% ในปีนี้ เป็นผลจากการบุกตลาดของผู้ผลิตชิ้นส่วนราคาถูก และการปรับแผนงานของผู้ผลิตรถยนต์บางรายที่เน้นไปนำเข้าชิ้นส่วนเพิ่มมากขึ้น
“เรื่องของผู้ผลิตชิ้นส่วนนั้นมีหลายสิ่งที่ต้องคำนึง ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐว่าจะดำเนินการไปในทิศทางไหน ซึ่งแนวโน้มในการเดินหน้าไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ประกอบการ และเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ยังต้องดิ้นรนในเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องของเทคโนโลยี เรื่องการผลิต ที่จะก่อให้เกิดศักยภาพในการผลิต รวมไปถึงเรื่องของการสร้างคนขึ้นมารองรับกับอุตสาหกรรม ซึ่งหากเราต้องการพัฒนาขึ้นมาเป็นฮับของอาเซียน ที่มีการแข่งขันกันมาก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถร่วมกัน”
ทั้งนี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยมีการส่งออกรวมกันปีละกว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งสูสีกับตัวเลขการส่งออกของผู้ผลิตรถยนต์ ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนมีการส่งออกปีละกว่า 1.22 ล้านล้านบาท จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญที่ต้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งต้องมีการสร้างยุทธศาสตร์ขึ้นมารองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไปในอนาคต
นายอนุพล ลิขิตพฤกษ์ไพศาล เลขาธิการสมาคมผู้จำหน่ายค้าปลีกรถยนต์ไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกรถยนต์ไทยมูลค่ารวมปีละมากกว่า 20 ล้านล้านบาท คิดเป็นจีดีพีประมาณ 15-20% หากคิดในกลุ่มรถยนต์ใหม่ที่คาดว่าจะจำหน่าย 7.5 แสนคัน ก็น่าจะมีมูลค่าใม่น้อนกว่า 7.5 แสนล้านบาท ซึ่งใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ทั้งนี้ หากมองภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่มียอดจำหน่ายราว 60 ล้านคัน ประเทศไทยจะมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 3% ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จากที่ตลาดรถปิกอัพเคยมีส่วนแบ่งมากถึง 70% ในปัจจุบัน ตลาดรถยนต์นั่งและตลาดรถปิกอัพมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมาก ขณะที่ตลาดรถยนต์หรูหราก็มีการเติบโตมากขึ้น และขยายตัวลงไปในตลาดระดับคอมแพคท์มากขึ้น ซึ่งนับเป็นการขยายเซกเมนต์ของธุรกิจไปตามกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา”
ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 7.5 แสนคัน โดยมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 6 หมื่นคัน แบ่งเป็นรถปิกอัพและรถยนต์นั่งอย่างละเท่ากัน ซึ่งตลาดนั้นเติบโตด้วยการทำแคมเปญของผู้ประกอบการร่วมกับผู้ประกอบการทางการเงิน ซึ่งเป็นตลาดของผู้บริโภคที่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจยานยนต์มีความคึกคักและเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ดร.พิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเชื่อว่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งแตกต่างกันไปตามแต่ละเซกเมนต์ แนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ปัจจัยที่จะเป็นบวกประกอบไปด้วย รายได้เกษตรกรเริ่มดีขึ้น กลุ่มผู้ซื้อรถยนต์คันแรกครบกำหนดการถือครอง อัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวต่ำต่อเนื่องไปถึงปีหน้า รวมไปถึงการเปิดตัวโมเดลใหม่ ๆ ของค่ายรถ โดยมองว่าตลาดรถยนต์นั่งจะเติบโตได้ดีกว่า โดยที่เอสยูวีจะมีแนวโน้มการเติบโตสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวที่ช้าและเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ โดยเติบโต 2.8% ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเติบโต 3% ในปีนี้และ 3.3% ในปี 2560 ซึ่งโครงสร้างของเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายอดจำหน่ายรถยนต์แต่ละเดือนน่าจะอยู่ที่ระดับ 6.5 หมื่นคัน หรือมียอดขาย 7.5-7.6 แสนคัน ลดลงราว 5% จากปีที่ผ่านมา
สำหรับในปี 2560 เราคาดว่าตลาดรถยนต์ไทยน่าจะมีการเติบโตอย่างมาก และเชื่อว่าอาจจะกลับไปมียอดจำหน่ายได้สูงสุดถึง 8.8 แสนคันในกรณีที่ดีที่สุด หากมีการกระตุ้นตลาดที่เหมาะสมและผู้บริโภคมีความต้องการซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าการกลับมาของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตในระยะยาวอาจจะไม่แข็งแกร่งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจนั้นไม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แต่เชื่อว่าในช่วงปลายปีน่าจะมีการออกมาตรการใหม่ ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์มา ซึ่งน่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้กับผู้ประกอบการในการผลักดันตลาดรถยนต์ร่วมกันเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องในอนาคต
พบกับกิจกรรมดีๆ สำหรับสมาชิกสมาคม และสามารถติดตามข่าวสารของ สมาคมฯ ได้ที่ www.tajathailand.com ซึ่งคณะกรรมการเปิดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างสมาชิกของสมาคมฯ และคนรักยานยนต์ทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring