xs
xsm
sm
md
lg

ลองขับ Volvo XC90 "ปลั๊ก-อินไฮบริด" สองพลังหนึ่งใจหลอมให้เป็นที่สุดเอสยูวี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ตามสมัยนิยมของรถยนต์หรูแบรนด์ยุโรปที่ทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเป็นหลัก และเพิ่มทางเลือกขุมพลังแบบ“ปลั๊ก-อินไฮบริด” ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่เหนือกว่า(ไฮบริดทั่วไป)ด้วยความสามารถในการวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางหนึ่ง (ตามสเปกของแต่ละค่ายรถยนต์ก็วิ่งได้ไม่เกิน 40 กม.หลังจากชาร์จไฟเต็มที่)

ทิศทางนี้ยิ่งชัดเจนเหมือนนัดกันมาครับ กับกลุ่ม“เอสยูวีปลั๊ก-อินไฮบริด” ทั้ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลอี,บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 และวอลโว่ เอ็กซ์ซี90 สอดคล้องกับรัฐบาลไทยเริ่มใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ซึ่งคิดตามอัตราการปล่อยไอเสีย

ในส่วนเมอร์เซเดส-เบนซ์นั้น ประเดิมรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ตั้งแต่ต้นปีด้วย “ซี-คลาส” และ “เอส-คลาส” จากนั้นตามมาด้วยการแนะนำ “จีแอลอี-คลาส” เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่วน “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5” xDrive40e เปิดตัวปลายปีที่แล้ว และเสริมทัพ “ซีรีย์3” 330e เมื่อต้นปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน ส่วนรุ่นประกอบในประเทศจะพร้อมทำตลาดไม่เกินปลายปีนี้

เช่นเดียวกับพระเอกจากประเทศสวีเดน “วอลโว่ เอ็กซ์ซี90” เปิดตัวครบไลน์ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทั้งรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ราคา 4.89 ล้านบาท และปลั๊ก-อินไฮบริด 2 รุ่นย่อย ราคา 5.39 ล้านบาทในเกรด Momentum และ 5.99 ล้านบาทในเกรด Inscription

...แต่นั่นเป็นโมเดลที่นำเข้าทั้งคันจากยุโรปครับ เพราะล่าสุดวอลโว่ ประเทศไทย เดินตามแผนนำเข้า“เอ็กซ์ซี90” มาจากโรงงานประกอบประเทศมาเลเซีย แบบไม่เสียภาษีนำเข้าเหมือนรถยนต์หลายๆรุ่น (ส่วนภาษีสรรพสามิตยังเสียเท่าเดิมและเท่ากับเอสยูวีคู่แข่งที่ 10% เพราะปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/กม.) โดยเริ่มทำตลาดในเกรด Momentum ซึ่งราคาลดลงไปแบบน่าดีใจหายหรือขายเพียง 4.49 ล้านบาท

ทั้งนี้ รถยนต์วอลโว่จะสื่อสารชื่อเทคโนโลยีปลั๊ก-อินไฮบริดว่า T8 Twin Engine (รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตรจะเรียก D5) ซึ่งทั้งหมดอยู่ในภาพใหญ่ของระบบขับเคลื่อนยุคใหม่ที่วอลโว่เรียกว่า Drive-E Powertrain


สำหรับขุมพลังใหม่ T8 Twin Engine มีโครงสร้างการวางเลย์เอาท์ และเทคนิคของระบบขับเคลื่อนน่าสนใจมากครับ...แน่นอนว่ามีเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี แต่หลักการทำงานเป็นอย่างไร?

เริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร มีหน้าที่ขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมเสริมการทำงานด้วยซูเปอร์ชาร์จที่จะช่วยหายใจในการทำงานที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ (ลดอาการรอรอบ หรือ Turbo lag) จากนั้นถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้นแล้วจะเร่งต้องเข่นพลัง จะเป็นหน้าที่ของเทอร์โบชาร์จเข้ามาเสริมช่วย

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อยังมีมอเตอร์/เจเนอเรเตอร์ อีกหนึ่งตัวที่ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่วอลโว่เรียกว่า Crankshaft Integrated Starter Generator: CISG ซึ่งมีหน้าที่เหมือนไดชาร์จ/ไดสตาร์ทเครื่องยนต์ และปั่นไฟเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี รวมถึงภาระในการเพิ่มแรงบิดเสริมกับเครื่องยนต์ ก่อนส่งกำลังผ่านเกียร์ลงสู่ล้อหน้าต่อไป

…จริงๆแค่ชุดขับเคลื่อนที่ล้อหน้าก็ถือว่าสุดยอดแล้วนะครับ เพราะใช้เครื่องยนต์ที่มีทั้งซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบชาร์จ และมีตัวเพิ่มแรงหรือปรับการทำงานช่วยกันอย่าง CISG พร้อมส่งกำลังลงสู่ล้อด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แต่แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจวอลโว่ครับ ดังนั้นจึงเพิ่มมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหลังเข้ามาอีกหนึ่งตัว

โดยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ตัวนี้จะวางอยู่บนเฟืองท้ายตัวหลัง มีหน้าที่ขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น ด้วยกำลัง 87 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร ซึ่งธรรมชาติมอเตอร์จะให้แรงบิดและแรงม้ามาเต็มตั้งแต่หมุนรอบแรก ซึ่งข้อดีและหน้าที่คือ จะทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆได้ในระยะทางหนึ่ง(ในโหมด Pure) และช่วยเสริมแรงให้กับขุมพลังชุดหน้าในช่วงที่ต้องการพลังเพิ่มขึ้น (ในโหมดHybridและโหมด Power) ขณะเดียวกันยังช่วยให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลามีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมลดความสูญเสียพลังงานทางกลไปได้เยอะ ซึ่งต่างจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้เพลากลางส่งกำลังมายังล้อหลัง

สุดท้ายเจ้ามอเตอร์ไฟฟ้าตัวหลัง ยังทำหน้าที่หน่วงเพลา-ล้อหลัง เหมือนเป็นการช่วยเบรกไปในตัว ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่นำพลังงานกลที่เสียไปจากเพลาหมุนในช่วงที่เราเบรกหรือยกคันเร่ง ไปปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเก็บไว้ในแบตเตอรีอีกด้วย (Regenerative Brake)

เหนืออื่นใด รูปแบบการติดตั้งแบตเตอรีก็เท่มากๆ เพราะไม่กินพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังแบบ “จีแอลอี” และ “เอ็กซ์5” ปลั๊ก-อินไฮบริด โดยวอลโว่เลือกนำมาวางตั้งเป็นแนวยาวอยู่ใต้คอนโซลกลาง ซึ่งจะมีข้อดีเพิ่มเติมทั้งเรื่องความปลอดภัย(ถ้าถูกชนจากด้านหลัง) และได้เปรียบในเชิงโครงสร้างเพราะวางแบตเตอรีแบบนี้ ย่อมมีส่วนช่วยเรื่องความสมดุลของการทรงตัว ขณะที่การกระจายน้ำหนักหน้า/หลังอยู่ที่ 53/47

…เอาแค่เรื่องการวางโครงสร้างเหล่านี้ วอลโว่ก็ได้เปรียบเอสยูวีคู่แข่งจากพื้นที่ใช้สอย พร้อมความอเนกประสงค์ของเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเบาะนั่งแถว3 ถ้าไม่ใช้ก็พับได้เรียบหรือราบเป็นระนาบเดียวกันเมื่อพับเบาะนั่งแถว2ลง

ด้านตัวรถยาวเกือบ 5 เมตรซึ่งถือว่าใหญ่กว่าสองคู่แข่ง ส่วนภายในไม่เพียงกว้างขวางอลังการ ผมยังให้คะแนนเรื่องความหรูหราน่าใช้น่าสัมผัส ทั้งลายไม้คอนโซลหน้า แผงประตูข้าง จอทัชสกรีนตรงกลางขนาด 9 นิ้วที่ทำหน้าที่เหมือนไอแพดควบคุมระบบต่างๆของรถ รวมถึงช่องแอร์ด้านหลังดูไฮโซ เรียกว่าบรรยากาศและการตกแต่งภายในห้องโดยสารของ “เอ็กซ์ซี90” ทำให้รถจากเยอรมนีเชยไปเลย

แม้ตัวถังยาวใหญ่แต่ขับจริงๆก็ไม่เทอะทะ ส่วนเรี่ยวแรงนั้นเหลือเฟือและเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามใจ ทั้ง Hybrid ที่เป็นโหมดตั้งค่าเริ่มต้น โหมดวิ่งไฟฟ้าล้วน Pure (ขึ้นอยู่กับประจุไฟในแบตเตอรี และลักษณะการขับขี่) โหมด Power กรณีอย่างจัดหนัก และโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ที่เกิดมาเพื่อช่วยการขับบนถนนลื่นๆหรือหิมะ โหมด Off Road ใช้ปีนป่ายตะกุยหิน(บนความเร็วไม่เกิน 20 กม./ชม.) รวมถึงโหมด Individual ผู้ขับเลือกเองว่าอยากได้การตอบสนองของพวงมาลัยและเบรกเป็นลักษณะไหน

ในส่วนการทดสอบจากเส้นทางคลองตัน-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี ผมใช้โหมดไฮบริดเป็นหลัก และชื่นชมจุดเด่นกับการทรงตัวอันยอดเยี่ยม พร้อมมีเสถียรภาพในการเข้าโค้ง แม่นจังหวะกันดีกับการควบคุมพวงมาลัยที่ให้ความมั่นใจสูง

ภายในห้องโดยสารเงียบกริบ(ถ้าไม่คุยกันและปิดเพลง) ให้ความเป็นส่วนตัวแปลกไปจากโลกภายนอก ยิ่งบรรยากาศในห้องโดยสารสวยงามหรูล้ำอย่างที่บอกไป พร้อมปุ่มควบคุมและระบบความปลอดภัยขั้นสูง(คอยเตือนคอยแจ้งตลอด) มีระบบ Pilot Assist ที่ควบคุมให้รถอยู่ในช่องทาง(เส้นแบ่งถนนต้องชัด) และคอยรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า ก็พานให้นึกว่าขับยานอวกาศละครับ




โหมดลักษณะการทำงาน
HYBRIDในโหมดนี้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินจะถูกใช้งานไม่ว่าจะเป็นทีละระบบหรือทั้งสองระบบพร้อมกันในลักษณะคู่ขนาน การทำงานในโหมดนี้จะได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดทั้งด้านสมรรถนะ การใช้เชื้อเชื้อเพลิง และความสบายโดยการทำงานของเครื่องยนต์และระบบเกียร์อัตโนมัติจะประสานกันโดยอัตโนมัติเพื่อความสบายสูงสุด นี่คือโหมดตั้งต้นทุกครั้งที่คุณสตาร์ทรถ
PUREโหมดนี้จะใช้งานระบบไฟฟ้าเป็นหลักและใช้พลังงานน้อย เป็นโหมดที่ช่วยให้ผู้ขับใช้พลังงานไฟฟ้าจาก
แบตเตอรี่ระบบไฮบริด สมรรถนะการขับขี่จะถูกลดลงและระบบปรับอากาศจะทำงานเหลือแต่บางส่วน (แต่สามารถปรับด้วยมือได้) โหมดนี้ใช้งานได้ถึงความเร็วรถไม่เกิน 125 กม/ชม. (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่และสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น เช่น การเหยียบแป้นคันเร่งของผู้ขับขี่ หากผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งแรงเกินกว่าระดับพลังงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์จะเข้ามาทำงานร่วมทันที) ประโยชน์ของโหมดนี้เหมาะสำหรับการขับขี่ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดี เช่น ลานจอดรถในห้าง หรือพื้นที่ที่ควบคุมการปล่อยมลพิษ
POWERในโหมดนี้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานพร้อมกันแบบคู่ขนานเพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุดการขับขี่แบบสปอร์ตและตอบสนองรวดเร็ว นั่นหมายถึงมีการขับเคลื่อนทั้งล้อหน้าและล้อหลังอย่างต่อเนื่อง ในการขับขี่ที่เข้มข้นระบบจะเลือกเกียร์ที่เหมาะกับการเร่งแซงอย่างปลอดภัยเป็นหลัก
- ระบบพวงมาลัยจะเข้าสู่โหมดไดนามิก
- ระบบเบรกจะเข้าสู่โหมดไดนามิก
- ระบบ ESC จะถูกปิดการทำงาน
- ระบบสตาร์ท/สต็อปจะถูกปิดการทำงาน
- ระบบ Active Sound Control จะเสริมเสียงเครื่องยนต์ให้เร้าใจขึ้น
- ระบบแสดงผลแบบ Adaptive Digital Display จะเข้าสู่โหมดสปอร์ต
AWDโหมดนี้ใช้เพื่อการเกาะถนนบนสภาพทางที่ลื่นโดยระบบขับเคลื่อน T8 Twin Engine จะส่งกำลังจากเครื่องยนต์เบนซินไปยังล้อคู่หน้าและกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อคู่หลังในลักษณะเดียวกับระบบขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD) ของรถเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลธรรมดาที่ปรับเปลี่ยนกระจายกำลังขับไปยังล้อหน้าหรือล้อหลังอย่างต่อเนื่อง
OFF-ROADใช้งานได้ที่ความเร็วต่ำกว่า 20 กม/ชม. เพื่อรักษาสมรรถนะของรถบนพื้นผิวทางที่ไม่ดี และเมื่อความเร็วเกิน 40 กม/ชม. โหมดนี้ก็ปิดการทำงานเองโดยอัตโนมัติและจะเปลี่ยนเป็นโหมด AWD ทั้งนี้ระบบนี้จะไม่กลับมาทำงานเองอีกแม้ความเร็วลดลง
- การตอบสนองของคันเร่งจะถูกปรับเพื่อลดโอกาสที่จะเร่งความเร็วเกิน 40 กม/ชม.
- การกระจายกำลังล้อหน้าและล้อหลังจะถูกล็อคอยู่ที่อัตรา 50/50
- ระบบควบคุมการลงเนิน Hill Descent Control จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อลงเนิน
- ระบบพวงมาลัยจะถูกปรับไปยังโหมดคอมฟอร์ท
- ระบบเครื่องยนต์และเกียร์จะประสานงานเพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนเป็นหลัก
- ระบบควบคุมเสถียรภาพอิเล็คโทรนิคส์ (ESC) จะเข้าสู่โหมด Traction/Sport
- ระบบสตาร์ท/สต็อปจะถูกปลด
Individualผู้ขับสามารถตั้งค่าโหมดเฉพาะของตนเองได้ เช่น เลือกการตอบสนองของพวงมาลัย ระบบบังคับเลี้ยว ความตื้นลึกของเบรก โดยโหมดนี้จะมีให้เลือกใช้เฉพาะเมื่อมีการตั้งค่าเอาไว้เท่านั้น

ขณะที่การตัดต่อ การเปลี่ยนหรือเสริมพลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำได้ราบรื่น ไม่มองหน้าจอแสดงผลแทบจะไม่รู้ว่าขุมพลังอะไรทำงานอยู่แค่ไหนอย่างไร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานเต็มสูบ มอเตอร์ไฟฟ้าขมีขมันเต็มที่ รถคันนี้รีดกำลังได้สูงสุดถึง 407 แรงม้า ส่วนแรงบิดระดับ 640 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.แค่ 5.6 วินาที เห็นตัวเลขเหล่านี้ต้องบอกว่า นี่มันระดับสปอร์ตคาร์ชั้นดี เพียงแต่เมื่ออยู่ในคราบเอสยูวี ต้องเน้นความนุ่มนวล ขับสบายมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งวอลโว่เซ็ทระบบไฮบริดให้ตอบสนองการขับขี่ได้เนียนต่อเนื่องมากๆ

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวผมจะติดนิดเดียวตรงการตอบสนองของระบบเบรกไฟฟ้า(ดิสก์เบรก 4 ล้อ) มีอาการต้านเท้าไปนิดจนช่วงแรกต้องจับจังหวะระยะหยุดให้ดี แต่เมื่อขับไปสักพักเริ่มคุ้นชินก็ไม่มีปัญหา

สำหรับ“เอ็กซ์ซี90”ตัวนำเข้าจากมาเลเซียช่วงแรกจะมีแต่รุ่น T8 Twin Engine เกรด Momentum เท่านั้น ซึ่งออปชันที่ต่างจากเกรด Inscription (ตัว CBU จากยุโรป ราคา 5.99 ล้านบาท) ไล่ตั้งแต่ ชุดเครื่องเสียง รูปแบบของราวหลังคา ตัวรีโมท และล้ออัลลอย 20 นิ้ว(รุ่น Momentum 19 นิ้ว) ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล D5 จากมาเลเซียคงต้องรออีกสักระยะครับ


รวบรัดตัดความ...ตั้งแต่เริ่มแรกในการออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ SPA (Scalable Product Architecture) เพื่อพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆของวอลโว่ ซึ่งมี“เอ็กซ์ซี90” คลอดออกมาเป็นโมเดลแรก ทีมวิศวกรได้คิดและแสดงความต้องการอย่างชัดเจนที่จะวางเทคโนโลยี T8 Twin Engine ให้รถยนต์รุ่นธง(Flagship Model) ของวอลโว่คันนี้

ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า “เอ็กซ์ซี90” เกิดมาเพื่อคู่กับระบบปลั๊ก-อินไฮบริด ที่ถูกตั้งความหวังทั้งรูปลักษณ์โดดเด่นทันสมัย ภายในออกแบบหรูล้ำที่สุดในคลาส พร้อมฟังก์ชันต่างๆที่ควบคุม-ใช้งานสะดวกสบาย สมรรถนะการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ บนมาตรฐานขั้นสูงของระบบความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการปล่อยไอเสียต่ำ และกินน้ำมันน้อย....หลังจากได้ลองขับแล้ว เชื่อสนิทใจว่าคุณค่าสำคัญที่ทีมงานวอลโว่ตั้งเป้าหมายไว้เหล่านี้ ไม่ได้เกินจริงเลย



- ระบบความปลอดภัยใน XC90










...แจกบัตร Big Motor Sale ท่านละ 2 ใบ มารับได้ที่บ้านพระอาทิตย์ เวลา 8.30-18.00 น. วันจันทร์-ศุกร์ โทร 02-629-4488

ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring

กำลังโหลดความคิดเห็น