ฟิล์มกันร้อนไฮเอ็น วี-คูล ประกาศพัฒนาผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการในกรุงเทพฯ เป็นศูนย์ วี-คูลฟูลเฟล็ต (V-KOOL Full Fledged Outlet) พร้อมให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร
นางสาวพิมพา ชลาลัย ประธานบริหาร บริษัท วี เค เอส กรุ๊ป (เอเซีย) หรือที่รู้จักกันในนาม V-KOOL GROUP THAILAND โดยเมื่อกลางปีที่แล้ว หลังจากที่ V-KOOL GROUP ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลตลาดฟิล์มกันร้อนวีคูลในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โดยบริษัทฯ ได้วางนโยบายการปรับเปลี่ยนและวางแนวทางในการพัฒนาระบบช่องทางการจัดการที่ผ่านผู้แทนจำหน่ายเป็นศูนย์บริการ วี-คูลฟูลเฟล็ต (V-KOOL Full Fledged Outlet) ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งที่สำคัญของ V-KOOL เนื่องจากบริษัทฯ ได้ยึดถือความสำคัญของผู้แทนจำหน่ายและผู้ใช้สินค้าของ V-KOOL เป็นหลัก
นโยบายสำคัญในการปรับเปลี่ยนผู้แทนจำหน่ายในบางรายรวมถึงการปรับปรุงศูนย์บริการของ วี-คูลในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานของวี-คูล ที่มีอยู่ทั่วโลก โดยหลักเกณฑ์หลักๆ จะมีการปรับเปลี่ยนโลโก้ตราสินค้า วี-คูล ที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้วทั่วโลก ศูนย์บริการของผู้แทนจำหน่ายจะได้รับการปรับเปลี่ยนตามแบบแปลนที่ถูกกำหนดโดยบริษัทแม่ในต่างประเทศ รวมถึงความชัดเจนในการจำหน่ายสินค้า วี-คูล เพื่อรองรับกับลูกค้าของ วี-คูล ซึ่งมีความเชื่อมั่นในตัวสินค้าค่อนข้างสูง (Brand Loyalty) และจากการสำรวจในปีที่ผ่านมาสินค้าของวี-คูล ได้ขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคในกลุ่มใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นความทันสมัย และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูงมีนวัตรกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งคุณสมบัติของวี-คูล ได้ตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้ได้หมดแล้ว
ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารูปแบบของผู้แทนจำหน่ายให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้โดยศูนย์ต้นแบบของบริษัทฯ(Flagship)ได้ตกแต่งเสร็จสิ้นและทดลองเปิดให้บริการเกือบ 1 ปี ปรากฏว่าลูกค้าที่เข้ารับบริการพูดได้ว่า เกินความคาดหมายเลยทีเดียว ศูนย์บริการแห่งนี้จะเป็นต้นแบบให้กับผู้แทนจำหน่าย วี-คูล นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาฝึกอบรมด้านการติดตั้งฟิล์ม การบริการระดับห้าดาวของฟิล์มกันความร้อน การพัฒนาระบบซอฟแวร์ที่จะเชื่อมต่อระหว่างบริษัทฯ และผู้แทนจำหน่าย ซึ่งจะสร้างความมั่นใจการรับประกันสินค้าซึ่งนับว่ามีสำคัญมากทีเดียว
นอกจากนี้เรายังตระหนักถึงการบริการหลังการขายที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือจากระบบการรับประกันซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อสินค้าเป็นอย่างมาก การพัฒนาเครื่องมือทดสอบฟิล์มที่ต้องมีไว้ในศูนย์บริการของผู้แทนจำหน่ายเพื่อให้ลูกค้าสามารถทดสอบ ทดลอง เพื่อให้ได้ทราบว่าฟิล์มสะท้อนความร้อนที่ดีนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งในระหว่างนี้บริษัทแม่ในต่างประเทศกำลังพัฒนาร่วมกับเครือข่ายวี-คูล ในหลายๆ ประเทศซึ่งอยู่ในระหว่างการทดสอบ ทดลอง ดังจะเห็นได้ว่า วี-คูล ในประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผู้แทนจำหน่ายให้มีมาตรฐานทั้งระบบและพร้อมจะดำเนินธุรกิจไปร่วมกันอย่างแข็งแกร่ง ทั้งสินค้าและบริการ
จุดหลักสำคัญในการคัดเลือกผู้แทนจำหน่ายบริษัทฯ จะพิจารณาหลักๆ เช่น ความมุ่งมั่นที่มีต่อแบรนด์ของสินค้าวี-คูล มีความชอบสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง มีคุณภาพดีเหมาะสมกับราคา มีใจรักงานบริการทั้งก่อนและหลังการขาย ยอมรับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงต้องมีศูนย์บริการที่เป็นไปตามแบบของบริษัทฯ กำหนด ซึ่งผู้แทนจำหน่ายที่ผ่านการหลักเกณฑ์ ดังกล่าวในรอบแรกมีประมาณทั้งหมด 9 - 15 ราย ซึ่งพื้นที่ค่อนข้างครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้แทนจำหน่าย ในกรุงเทพฯ อยู่ 27 ราย ภาคเหนือ 8 ราย ภาคใต้ 13 ราย ภาคอิสาน 17 ราย และภาคตะวันออก 6 ราย รวม 71 ราย
สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ บางส่วนที่ขาดหายไป ถ้ายังไม่มีผู้แทนจำหน่ายที่เข้าหลักเกณฑ์ บริษัทฯ ต้องเปิดศูยน์บริการเพิ่มเติมขึ้นมาเอง สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมของผู้แทนจำหน่ายที่ต้องปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้โดยประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อแห่ง เมื่อผู้แทนจำหน่ายมีการปรับปรุง พัฒนาในสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เรามั่นใจว่าจะผลดีต่อแบรนด์ และอัตราการเติบโตต่อยอดขายอย่างแน่นอน โดยเป้าหมายเป็นการปรับปรุงศูนย์ผู้แทนจำหน่ายต้องเสร็จสิ้นภายในปี2559
เราต้องยอมรับว่าสภาพอากาศในบ้านเราตอนนี้ มีแต่จะร้อนขึ้นทุกปี ดังนั้นฟิล์มที่มีคุณภาพดีเท่านั้นถึงจะอยู่ในตลาดได้ และภายในปีนี้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของวี-คูล เข้าสู่ตลาดฟิล์มกันร้อนในเมืองไทย ซึ่งการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้เราและบริษัทแม่ในต่างประเทศมีการคิดค้นร่วมกัน เพื่อผลิตสินค้าให้ตรงใจ ตรงรสนิยมกับผู้ใช้ฟิล์มในหลายๆ กลุ่มและแน่นอนสิ่งสำคัญคือต้องป้องกันความร้อนได้สูง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ วี-คูล
สำหรับเรื่องของการตั้งเป้าการขาย วี-คูลในประเทศไทย -ทีมของเราอาจจะมองแตกต่างจากที่อื่น ๆ ซึ่งโดยบริษัทั่วไป การตั้งเป้าหมายคือการดูยอดการขาย การเติบโตที่เป็นตัวเลข การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดให้ได้มากที่สุด ตัวเราจะมองว่าเราต้องการเข้าถึงผู้บริโภคให้ตรงกลุ่มที่เป็นกลุ่มเป้าหมายและเติบโตในตลาดนั้น สร้างความแข็งแกร่งในตลาดนั้น โตแบบยั่งยืน (Sustainable Growth) รวมถึงสร้างความเข้าใจต่อผู้บริโภคว่าสินค้าที่ดี มีคุณภาพควรเป็นเช่นไร สามารถทดสอบ ทดลอง ด้วยตัวผู้ใช้เอง และสำคัญที่สุดเมื่อผู้บริโภคซื้อสินค้าไปใช้แล้วสามารถป้องกันความร้อนได้จริงๆ
ส่วนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะเป็นฟิล์มกรองแสงที่มีนวัตกรรม เจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความทันสมัย โดดเด่นในเรื่องของสี ความเป็นส่วนตัว มีคุณสมบัติกรองแสง และป้องกันความร้อนได้เต็มประสิทธิภาพ แต่มีทัศนวิสัยในการมองเห็นได้อย่างชัดเจน คาดว่าจะเปิดตัวได้ไตรมาสสุดท้าย หรือปลายปีนี้
"ภายหลังจากที่เราได้ปรับภาพลักษณ์ ความพร้อมของเครือข่าย โดยเฉพะความแข็งแกร่งในด้านการบริการแบบครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าเราพึงพอใจสูงสุดแล้ว โดยวี-คูล เป็นฟิล์มกรองแสงที่เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับบน ราคาจำหน่ายระหว่าง 11,000-36,000 บาท ซึ่งรถหรูระดับบนที่เลือกติดฟิล์มพรีเมี่ยมจะมีประมาณ 120,000 คันจากตลาดรวม ซึ่งเป็นลูกค้าของเราประมาณ 20-25% ดังนั้นทั้งปีนี้เราได้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตไว้ที่ 5-7% และในปี 2560 คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวได้ 5-10% โดยยอดขายของวี-คูล จะแบ่งเป็นขายส่งดีลเลอร์ 60% ขายผ่านโชว์รูม 20% และเป็นส่วนของฟิล์มอาคารอีก 20% ในปีนี้คาดว่าตลาดรวมของฟิล์มกรองแสงรถยนต์จะมีมูลค่าประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท"