ที่ผ่านมา “เมอร์เซเดส-เบนซ์” มักตั้งชื่อและจัดกลุ่มก้อนรถยนต์ในไลน์อัพของตนเองให้สลับซับซ้อนกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรียกว่าถ้าไม่ติดตามอย่างใกล้ชิดอาจจะ “งง” ว่า รถยนต์รุ่นนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร หรือรุ่นที่เคยมี อยู่ดีๆหายไปไหน
ผิดกับยุคใหม่สมัยนี้ครับที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์จัดการปรับตำแหน่งและการตั้งชื่อในรถยนต์แต่ละกลุ่มให้มีความชัดเจนมากขึ้น อันสอดคล้องกับโปรดักต์ที่คลอดออกมาหลากหลาย เช่นเดียวกับกลุ่มเอสยูวี ที่มีทั้ง GLA GLC GLE GLS (ให้ไปในทิศทางเดียวกับ A-Class,C-Class,E-Class,S-Class) และตัวคลาสสิกออฟโรดอย่าง G-Class
ที่ใกล้ตัวหน่อยก็ M-Class เปลี่ยนชื่อเป็น GLE ระดับเดียวกับคู่แข่งอย่าง BMW X5,Volvo XC90,Lexus RX และล่าสุดกับ GLC ที่เปลี่ยนชื่อมาจาก GLK ที่เข้ามาซัดกับ BMW X3,Volvo XC60,Lexus NX โดยเปิดตัวในเมืองไทยช่วงเดือนตุลาคม 2558
เดิมนั้น GLK จะเน้นทำตลาดรุ่นพวงมาลัยซ้ายเป็นหลัก แต่หลังจากปรับนโยบายให้เป็นโกลบอลมากขึ้น เมื่อถึงเวลาปรับโฉมและเปลี่ยนชื่อเป็น GLC เมืองไทยก็ได้รับโอกาส โดยช่วงแรกจะเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน แบ่งเป็น 2 เกรด คือ GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD ราคา 3.79 ล้านบาท และ GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic ราคา 4.09 ล้านบาท
โดยความต่างระหว่างเงิน 3 แสนบาท ที่จ่ายเพิ่มในรุ่น GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamicไล่ตั้งแต่ ชุดแต่ง AMG รอบคัน(กันชนหน้า-หลัง คาลิเปอร์เบรก บันไดข้าง) และล้ออัลลอย 20 นิ้ว (รุ่นOFF-ROAD 19 นิ้ว) ชุดคันเร่ง-แป้นเบรกแบบสปอร์ต รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ระบบเปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ (รุ่นOFF-ROAD ไม่มีหน่วยความจำ) และกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
ส่วนตัวผู้เขียนได้ลองรุ่น GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD แม้ไม่ได้สัมผัสถึงออปชันดังกล่าว แต่ว่าใช้งานจริงสะดวกสบายดี ทั้งการเข้า-ออกด้านหน้าและด้านหลัง ความอเนกประสงค์ของพื้นที่ใช้สอย พร้อมการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังที่ขยับขยายได้สบายตัว ด้วยมิติตัวถังยาว 4,656 มม. มากกว่า GLK 131 มม. กว้าง 1,890 มม.มากกว่า GLK 50 มม. และระยะฐานล้อ 2,873 มม. ยาวขึ้น 118 มม. ขณะเดียวกันด้วยการพัฒนาโครงสร้างตัวถังใหม่ GLC ยังมีน้ำหนักเบากว่า GLK ถึง 50 กิโลกรัมอีกด้วย
ภายในห้องโดยสาร เรื่องการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีตามแบบฉบับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตัวรถยกสูง พร้อมล้ออัลลอย 19 นิ้ว แต่สามารถออกแบบการบริหารจัดการลมปะทะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านหน้า และใต้ท้องรถ ส่วนเสียงเครื่องยนต์ดีเซลเล็ดลอดเข้ามาน้อย หรือมีให้ได้ยินบ้างตอนเข่นคันเร่งแรงๆ ซึ่งผู้เขียนว่าออกแนวนุ่มไพเราะไปอีกแบบ
ด้านช่วงล่างพร้อมล้ออัลลอย 19 นิ้ว ประกบยาง 235/55 R19 และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4 MATIC รองรับซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้อยู่หมัด การทรงตัวรวมๆหนึบแน่นพอๆกับ X3 xDrive20d แต่ GLC จะมีบุคลิกกระเดียดไปทางนุ่มเนียนกว่านิดๆ
ที่ประทับใจผู้เขียนเห็นจะเป็นสมรรถนะจากขุมพลังและเกียร์ 9 สปีด ที่นำพารถคันโตออกไปได้อย่างฉลุยนิ่ม หรือถ้าต้องการพลังกะทันหันก็จัดให้ได้รวดเร็วทันใจ โดยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.1 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 -1,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 7.6 วินาที
ตามข้อมูลของเมอร์เซเดส-เบนซ์ บอกว่าระบบเทอร์โบคู่นี้จะแบ่งการทำงานเป็น 2 ขั้นตอนคือ เทอร์โบไอเสียตัวเล็กแรงดันสูงและตัวใหญ่แรงดันต่ำ ควบคุมอากาศที่ถูกส่งเข้าห้องเผาไหม้ให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานในแต่ละช่วง ทั้งยังช่วยให้กระบอกสูบมีแรงดันมากขึ้นจึงได้แรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำ เมื่อบวกกับศักยภาพของเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่ทำงานฉับไวและนุ่มนวล ก็ถือเป็นความลงตัวครั้งใหม่สำหรับเอสยูวีในปัจจุบันที่ต้องให้ความสำคัญเรื่องสมรรถนะ อัตราบริโภคน้ำมัน และการปล่อยไอเสียต่ำไปพร้อมๆกัน
เมื่อขับขี่จริง GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD พละกำลังจัดให้ตั้งแต่รอบต่ำ สัมผัสของการแตะคันเร่งกับการตอบสนองของขุมพลังให้ความคล่องตัวยามขับในเมือง และไหลลื่นเมื่อขับความเร็วสูงออกทางไกลไปต่างจังหวัด ขณะเดียวกันในช่วงทางหลวงระหว่างเมือง บนความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุด ผู้เขียนสังเกตว่ารอบเครื่องยนต์อยู่ระดับ 1,600 รอบเท่านั้น ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยๆสภาวะขับขี่ในเมือง(รถไม่ติด)-นอกเมือง(ความเร็ว 100-120 กม./ชม.) ได้ตัวเลขแถวๆ 15-16 กม./ลิตร (ตัวรถแสดงเป็นลิตรต่อ100 กม.)
รวบรัดตัดความ...เป็นเอสยูวีสายพันธุ์ดีที่คนไทยมีโอกาสได้เลือกใช้ ด้วยตราดาวที่แปะตรงกระจังหน้าการันตี คุณภาพ มาตรฐานรถยนต์ระดับสูง เครื่องยนต์ดีเซลและเกียร์อัตโนมัติชุดนี้ทำงานสอดประสานกันอย่าง นุ่ม เงียบ เรียบลื่น พลังมหศาลที่ซ่อนใต้ฝากระโปรงถูกบริหารจัดการลงสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างสุภาพ พร้อมช่วงล่างหนึบนุ่ม การทรงตัวเยี่ยม....BMW X3 เพิ่งได้เจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย
ข้อมูลทางเทคนิคเปรียบเทียบระหว่าง GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD กับ X3 xDrive20d
หมายเหตุ : GLC ยังเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน และน่าจะมีแผนประกอบในประเทศปลายปีนี้ ส่วน X3 เป็นรุ่นประกอบในประเทศ จึงได้เปรียบเรื่องราคาขายอยู่พอสมควร
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
ผิดกับยุคใหม่สมัยนี้ครับที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์จัดการปรับตำแหน่งและการตั้งชื่อในรถยนต์แต่ละกลุ่มให้มีความชัดเจนมากขึ้น อันสอดคล้องกับโปรดักต์ที่คลอดออกมาหลากหลาย เช่นเดียวกับกลุ่มเอสยูวี ที่มีทั้ง GLA GLC GLE GLS (ให้ไปในทิศทางเดียวกับ A-Class,C-Class,E-Class,S-Class) และตัวคลาสสิกออฟโรดอย่าง G-Class
ที่ใกล้ตัวหน่อยก็ M-Class เปลี่ยนชื่อเป็น GLE ระดับเดียวกับคู่แข่งอย่าง BMW X5,Volvo XC90,Lexus RX และล่าสุดกับ GLC ที่เปลี่ยนชื่อมาจาก GLK ที่เข้ามาซัดกับ BMW X3,Volvo XC60,Lexus NX โดยเปิดตัวในเมืองไทยช่วงเดือนตุลาคม 2558
เดิมนั้น GLK จะเน้นทำตลาดรุ่นพวงมาลัยซ้ายเป็นหลัก แต่หลังจากปรับนโยบายให้เป็นโกลบอลมากขึ้น เมื่อถึงเวลาปรับโฉมและเปลี่ยนชื่อเป็น GLC เมืองไทยก็ได้รับโอกาส โดยช่วงแรกจะเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน แบ่งเป็น 2 เกรด คือ GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD ราคา 3.79 ล้านบาท และ GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamic ราคา 4.09 ล้านบาท
โดยความต่างระหว่างเงิน 3 แสนบาท ที่จ่ายเพิ่มในรุ่น GLC 250 d 4MATIC AMG Dynamicไล่ตั้งแต่ ชุดแต่ง AMG รอบคัน(กันชนหน้า-หลัง คาลิเปอร์เบรก บันไดข้าง) และล้ออัลลอย 20 นิ้ว (รุ่นOFF-ROAD 19 นิ้ว) ชุดคันเร่ง-แป้นเบรกแบบสปอร์ต รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ระบบเปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ (รุ่นOFF-ROAD ไม่มีหน่วยความจำ) และกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
ส่วนตัวผู้เขียนได้ลองรุ่น GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD แม้ไม่ได้สัมผัสถึงออปชันดังกล่าว แต่ว่าใช้งานจริงสะดวกสบายดี ทั้งการเข้า-ออกด้านหน้าและด้านหลัง ความอเนกประสงค์ของพื้นที่ใช้สอย พร้อมการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังที่ขยับขยายได้สบายตัว ด้วยมิติตัวถังยาว 4,656 มม. มากกว่า GLK 131 มม. กว้าง 1,890 มม.มากกว่า GLK 50 มม. และระยะฐานล้อ 2,873 มม. ยาวขึ้น 118 มม. ขณะเดียวกันด้วยการพัฒนาโครงสร้างตัวถังใหม่ GLC ยังมีน้ำหนักเบากว่า GLK ถึง 50 กิโลกรัมอีกด้วย
ภายในห้องโดยสาร เรื่องการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีตามแบบฉบับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ตัวรถยกสูง พร้อมล้ออัลลอย 19 นิ้ว แต่สามารถออกแบบการบริหารจัดการลมปะทะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านหน้า และใต้ท้องรถ ส่วนเสียงเครื่องยนต์ดีเซลเล็ดลอดเข้ามาน้อย หรือมีให้ได้ยินบ้างตอนเข่นคันเร่งแรงๆ ซึ่งผู้เขียนว่าออกแนวนุ่มไพเราะไปอีกแบบ
ด้านช่วงล่างพร้อมล้ออัลลอย 19 นิ้ว ประกบยาง 235/55 R19 และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4 MATIC รองรับซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้อยู่หมัด การทรงตัวรวมๆหนึบแน่นพอๆกับ X3 xDrive20d แต่ GLC จะมีบุคลิกกระเดียดไปทางนุ่มเนียนกว่านิดๆ
ที่ประทับใจผู้เขียนเห็นจะเป็นสมรรถนะจากขุมพลังและเกียร์ 9 สปีด ที่นำพารถคันโตออกไปได้อย่างฉลุยนิ่ม หรือถ้าต้องการพลังกะทันหันก็จัดให้ได้รวดเร็วทันใจ โดยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.1 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 -1,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 7.6 วินาที
ตามข้อมูลของเมอร์เซเดส-เบนซ์ บอกว่าระบบเทอร์โบคู่นี้จะแบ่งการทำงานเป็น 2 ขั้นตอนคือ เทอร์โบไอเสียตัวเล็กแรงดันสูงและตัวใหญ่แรงดันต่ำ ควบคุมอากาศที่ถูกส่งเข้าห้องเผาไหม้ให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานในแต่ละช่วง ทั้งยังช่วยให้กระบอกสูบมีแรงดันมากขึ้นจึงได้แรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำ เมื่อบวกกับศักยภาพของเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่ทำงานฉับไวและนุ่มนวล ก็ถือเป็นความลงตัวครั้งใหม่สำหรับเอสยูวีในปัจจุบันที่ต้องให้ความสำคัญเรื่องสมรรถนะ อัตราบริโภคน้ำมัน และการปล่อยไอเสียต่ำไปพร้อมๆกัน
เมื่อขับขี่จริง GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD พละกำลังจัดให้ตั้งแต่รอบต่ำ สัมผัสของการแตะคันเร่งกับการตอบสนองของขุมพลังให้ความคล่องตัวยามขับในเมือง และไหลลื่นเมื่อขับความเร็วสูงออกทางไกลไปต่างจังหวัด ขณะเดียวกันในช่วงทางหลวงระหว่างเมือง บนความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุด ผู้เขียนสังเกตว่ารอบเครื่องยนต์อยู่ระดับ 1,600 รอบเท่านั้น ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยๆสภาวะขับขี่ในเมือง(รถไม่ติด)-นอกเมือง(ความเร็ว 100-120 กม./ชม.) ได้ตัวเลขแถวๆ 15-16 กม./ลิตร (ตัวรถแสดงเป็นลิตรต่อ100 กม.)
รวบรัดตัดความ...เป็นเอสยูวีสายพันธุ์ดีที่คนไทยมีโอกาสได้เลือกใช้ ด้วยตราดาวที่แปะตรงกระจังหน้าการันตี คุณภาพ มาตรฐานรถยนต์ระดับสูง เครื่องยนต์ดีเซลและเกียร์อัตโนมัติชุดนี้ทำงานสอดประสานกันอย่าง นุ่ม เงียบ เรียบลื่น พลังมหศาลที่ซ่อนใต้ฝากระโปรงถูกบริหารจัดการลงสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างสุภาพ พร้อมช่วงล่างหนึบนุ่ม การทรงตัวเยี่ยม....BMW X3 เพิ่งได้เจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย
ข้อมูลทางเทคนิคเปรียบเทียบระหว่าง GLC 250 d 4MATIC OFF-ROAD กับ X3 xDrive20d
หมายเหตุ : GLC ยังเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน และน่าจะมีแผนประกอบในประเทศปลายปีนี้ ส่วน X3 เป็นรุ่นประกอบในประเทศ จึงได้เปรียบเรื่องราคาขายอยู่พอสมควร
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring