เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส (W213) ถือเป็นดาวเด่นรุ่นหนึ่ง ในงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล” มอเตอร์โชว์ ที่จัดขึ้น ณ ขณะนี้ ทั้งความสด ใหม่ รูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตาในทุกรายละเอียดแล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีมากมาย และถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในไทยโดยใช้เวที มอเตอร์โชว์ อวดโฉมและให้ลูกค้าสัมผัสตัวเป็น ๆ
แต่ก่อนที่จะมาเมืองไทย อี-คลาส ใหม่รุ่นนี้ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2016 โดยในช่วงแรกการทำตลาดของเครื่องยนต์ยังไม่เยอะเท่าไร แต่สำหรับเมืองไทยเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะนำเข้ามาจำหน่ายก่อน 2 รุ่น คือ อี 220 d Exclusive และ อี 220 d AMG Dynamic ส่วนรุ่นประกอบภายในประเทศคงต้องรออีกสักพัก คาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้ อาจได้เห็นกัน
แน่นอนเมื่อ อี-คลาส เป็นโมเดล ใหม่ สด ซิง ขนาดนี้ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงได้เชื้อเชิญสื่อมวลชนจากไทยกว่า 10 ชีวิต บินไปทดสอบรถถึงประเทศโปรตุเกสกันเลยทีเดียว แม้ว่าที่โน้นจะมีรถให้เลือกหลายรุ่นในการลองขับ แต่ผู้เขียนเลือกรุ่น อี220 d ในการทดสอบ เพราะเป็นรุ่นที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในไทย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รถที่ขับในต่างประเทศกับที่ขายในเมืองไทย จะมีสเป็กที่แตกต่างกันเพราะบางเทคโนโลยีไม่สามารถนำมาใช้ในไทยได้
ก่อนที่จะรายงานการทดสอบ เรามาดูหน้าตาของเจ้าอี-คลาส กันก่อนว่ามันหล่อเหลาเพียงใด ..สไตล์การออกแบบตัวรถเหมือนกับย่อส่วนมาจาก เอส-คลาส ด้วยเส้นสายที่เฉียบคม และการปรับเปลี่ยนสไตล์ของกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ เช่นเดียวกับไฟหน้าซึ่งเปลี่ยนมาเป็นกรอบเหลี่ยมยาว ไม่ได้แยกเป็นดวงเหมือนกับรุ่น w210 ,w211 และ w212 ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นการพลิกโฉมเพื่อพ้นจากยุคที่มีแนวคิดการออกแบบของ New Eyes เป็นแม่แบบอย่างแท้จริง
รุ่นที่ขายในไทย อี-คลาส อี 220 d Exclusive มาพร้อมกับกระจังหน้าที่ติดตั้งตราสัญลักษณ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไว้บนฝากระโปรง ไฟหน้าแบบ LED High Performance และล้ออัลลอยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 18 นิ้ว ลายสิบก้าน ส่วน และ อี 220 d AMG Dynamic ตราสัญลักษณ์จะติดตั้งอยู่ตรงกลางบนกระจังหน้า มาพร้อมกับ ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 นิ้ว ลายห้าก้านคู่
ในแง่ของมิติตัวถังมากับระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้นอีก 65 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 2,939 มิลลิเมตร ทำให้ช่วยเพิ่มความหรูหรา และโออ่าของพื้นที่ใช้สอยให้ห้องโดยสารมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ช่วงขาสำหรับเบาะนั่งด้านหลัง ขณะที่ความยาวเพิ่มขึ้นอีก 43 มิลลิเมตร เป็น 4,923 มิลลิเมตร
การออกแบบภายใน เบาะที่นั่งถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของรถตระกูลนี้ เพราะได้คัดเลือกวัสดุชั้นดีและใช้ความประณีตในการตกแต่ง ให้ดูหรูหรา อีกทั้งยังเน้นความรู้สึกสบายสำหรับการเดินทางไกล โดยเบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงได้แบบ40/20/40 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ
สำหรับรุ่น อี 220 d Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรู มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน ในขณะที่รุ่น อี 220 d AMG Dynamic จะมาพร้อมกับชุดหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้วจำนวน 2 จอ เป็นอุปกรณ์เสริมในห้องโดยสาร โดยหน้าจอทั้งสองจะติดกันและมีลักษณะลอยตัว แบ่งการแสดงผลเป็น 2 ส่วน คือ แผงหน้าปัดสำหรับแสดงมาตรวัดต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน้าจอแบบ wide screen ขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจน และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นจออินโฟเทนเมนต์ โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ ตามความชอบส่วนตัว ได้แก่ แบบคลาสสิก แบบสปอร์ต และแบบ Progressive ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของรถยนต์ในเซกเม้นท์นี้มีการติดตั้งจอดังกล่าว นอกจากนี้ยังเพิ่มสุนทรีนภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟซึ่งสามารถสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารได้ถึง 64 สี
อีกหนึ่งไฮโลท์ของอี-คลาส คือเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย อาทิ ระบบไฟหน้า MULTIBEAM LED แบบความละเอียดสูง ที่ติดตั้งมาในรุ่น อี 220 d AMG Dynamic หลอดไฟ LED 84 หลอด จะถูกบรรจุภายในเลนส์ โดยหลอดไฟเหล่านี้ให้ความสว่างสูงแต่ไม่รบกวนสายตาของรถคันอื่น ๆ บนท้องถนน การส่องสว่างของโคมไฟ แต่ละข้างจะทำงานอย่างเป็นอิสระ สามารถส่องสว่างหรือดับได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนปรับระดับความสว่างตามสภาพถนน ได้อย่างเหมาะสม โดยทำงานร่วมกับระบบ Active Light ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าเป็นครั้งแรกของโลก
ซึ่งจะว่ากันจริง ๆ แล้ว อี-คลาส ใหม่ มี นอกจากหน้าตาที่ดูสวยและทันสมัยขึ้นแล้ว ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมาย ชนิดที่เป็นยานแม่ลำหนึ่งของวงการยานยนต์เลยทีเดียว แต่อย่างที่กล่าวข้างต้น บางเทคโนโลยีไม่สามารถนำมาใช้ในไทยได้ ด้วยเงื่อนไขหลายอย่าง บวกกับราคาที่อาจทำให้สูงจนเกินไป อาทิ Remote Parking Pilot คือการควบคุมให้ตัวรถสามารถเดินหน้าหรือถอยหลังเข้าจอดในช่องจอดที่ค่อนข้างแคบ โดยที่ผู้สั่งสามารถยืนควบคุมอยู่ข้างนอกรถได้ และเป็นการสั่งผ่านทาง App ที่อยู่ในมือถือไม่ใช่พวงกุญแจ สามารถใช้ได้ทั้งระบบ iOS และAndroid แถมโทรศัพท์มือถือยังเป็นเสมือนกุญแจเปิด-ปิดประตูรถ และสามารถสั่งกดปุ่มสตาร์ทรถได้ด้วย
Drive Pilot คือการพัฒนาอีกขั้นของเทคโนโลยี Distronic ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการขับทางไกล โดยจะสามารถรักษาระดับของระยะห่างจากรถยนต์คันหน้าได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย โดยแปรเปลี่ยนไปตามสภาพเส้นทางและการจราจร อีกทั้งยังสามารถขยับความเร็วในการทำงานได้สูงสุดถึง 210 กิโลเมตร/ ชั่วโมง
นั้นหมายความว่ารถสามารถขับเองอัตโนมัติ (ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้) คือระบบนี้จะทำงานร่วมกับกล้อง 2 ตัวที่อยู่ตรงกระจกหน้ารถ และเรดาร์ที่อยู่หน้ารถ กับตัวเซนเซอร์ที่อยู่รอบคัน ตัวนี้ทำให้ตัวรถรู้สถานการณ์ เหตุการณ์รอบตัวรถ และเอามาประมวลเพื่อควบคุมการขับรถแบบอัตโนมัติ โดยตัวกล้องและตัวเซนเซอร์หน้าจะคอยอ่านสิ่งที่เข้าจับคือ ป้ายจราจร (ในเรื่องการควบคุมความเร็ว ถ้าป้ายจำได้ 80 รถจะวิ่งแค่ 80 กิโลเมตร ) เส้นจราจร (รถจะวิ่งได้ตรงตามเส้นจราจร ถ้าเป็นทางโค้งรถก็จะโค้งตาม ) แต่อย่างไรระบบนี้จะใช้ได้ดีบนถนนไฮเวย์ ทางตรงยาว ๆ ขณะที่ในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง เราน่าจะขับเองดีกว่า ให้รถขับให้
ส่วนระบบอื่น ๆ ที่ใหม่ และคนไทยได้มีโอกาสใช้ คือ หน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว (หรือ 31.2 เซนติเมตร) ถึง 2 หน้าจอ ซึ่งเป็นแบบทัชสกีน ที่เรียกว่า Dual Display และแต่ละหน้าจอ มีความละเอียด 1920x720 Pixels ซึ่งจากการวางในลักษณะที่เชื่อมต่อกันนี้จะทำให้การแสดงผลมีลักษณะที่ยาวในแบบ Wide Screen ด้วยพื้นที่ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ตรงบริเวณมาตรวัดรอบเครื่องยนต์มาจนถึงแผงคอนโซลกลาง (อยู่ในรุ่นอี 220 d AMG Dynamic )
นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังติดตั้งปุ่มควบคุมเอาไว้ที่พวงมาลัยด้วยผู้ขับขี่สามารถใช้นิ้วปาด หรือรูดผ่านเพื่อควบคุมการทำงานหรือเลือกฟังก์ชั่นต่าง ๆ ในตัวรถโดยที่ไม่ต้องละมือออกจากพวงมาลัย
สำหรับเครื่องยนต์ที่มาจำหน่ายในไทยเป็นรุ่นเทอร์โบดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร มีกำลังสูงสุด 194 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 G-TRONIC ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งจากการทดลองขับบนถนนในเมืองสิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ด้วยรถพวงมาลัยซ้าย เล่นเอาเครียดไม่น้อยในช่วงแรก ๆ ที่ต้องปรับตัวให้เข้าถนน และพวงมาลัย โดยเฉพาะเส้นทางในเมืองที่มีถนนแคบ ๆ แต่ก็พอจะจับความรู้สึกได้ว่าเครื่องดีเซล ตัวใหม่นี้ เป็นเครื่องที่สมูทมาก ยิ่งทำงานกับเกียร์ 9 G-TRONIC ทำให้การขับขี่ลื่นไหลไปแบบสบาย ๆ การขับขี่ในเมืองคล่องตัวแม้ตัวรถจะยาว-กว้าง ขึ้น แต่ก็ไม่รู้สึกว่าตัวรถใหญ่ พวงมาลัยควบคุมง่าย แม่นยำ อัตราเร่งตั้งแต่ความเร็วต่ำจนถึงความเร็วสูงไปได้แบบนิ่ง ๆ แรง-เร็ว ทันใจ ในทุกช่วงที่กด ขณะที่ช่วงล่างค่อนข้างนุ่มนวล นั่งสบายทั้งเบาะหน้า -เบาะหลัง บวกกับเครื่องเสียง BURMESTER ที่เปิดฟังตลอดการเดินทางทำให้การขับและนั่งในอี-คลาสใหม่แฮปปี้ มาก ๆ
ต้องยอมรับว่าเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ให้ทั้งความแรง ความเรียบหรูไปในตัว และเมื่อทำงานร่วมกับเกียร์ที่ลงตัวมาก ยิ่งขับแล้วยิ่งชอบ ที่สำคัญเสียงเครื่องยนต์แทบจะไม่ได้ยินเลย แม้จะอยู่นอกรถก็ตาม ถือว่าเสียงเครื่องดีเซลรุ่นใหม่นี้เบามาก เหนืออื่นใดโครงสร้างรถที่ได้รับการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์และมีน้ำหนักเบาลง ส่งผลให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำเพียงแค่ 25.6 กิโลเมตร /ลิตร ที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมไว้ และการปล่อยมลพิษต่ำ กลายเป็นจุดเด่นของอี-คลาส ใหม่ เลยก็ว่าได้
ถึงบรรทัดนี้ขอบอกว่า อี-คลาสใหม่ เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ดูสวย ทันสมัยขึ้น แถมยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากมายที่ใส่เข้ามา บวกกับเครื่องยนต์ใหม่ประหยัดน้ำมัน และเมื่อได้ลองขับในช่วงสั้น ๆ ยอมรับว่าเป็นรถที่ขับขี่ง่าย นุ่มนวล นั่งสบาย หรูหรา น่าใช้มาก ถือเป็นการพลิกโฉมให้กับ อี-คลาส ใหม่ คันนี้กันเลยทีเดียว