ปิดปี 2558 ตลาดรถยนต์เมืองไทยทำยอดขายได้ 7.99 แสนคัน ลดลง 9.3% เมื่อเทียบกับปี 2557 หลายค่ายรถยนต์พยายามประคับประคองสถานการณ์และทำใจกับตัวเลขที่หายไป แต่กระนั้นหากพิจารณาค่ายรถยนต์หลักแบรนด์ญี่ปุ่น กลับมีเพียง 4 รายที่สามารถทำยอดขายเติบโตสวนทางกับสภาะตลาด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ซูซูกิ” (อีกสามค่ายคือ ฮอนด้า มาสด้า และซูบารุ)
“ซูซูกิ”เป็นค่ายรถยนต์น้องใหม่หากเทียบกับแบรนด์เพื่อนร่วมชาติ เพราะเพิ่งลงหลักปักฐานลุยธุรกิจในไทยจริงจังหลังรัฐบาลเปิดโครงการอีโคคาร์ เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว และมีแนวทางชัดเจนในการทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก....แผนงานปีนี้เป็นอย่างไร รวมถึงความคืบหน้าในโครงการอีโคคาร์ เฟส2 และเป้าหมายในระยะต่อไป สัมภาษณ์ “โยจิ มุโรซะกะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งสดๆร้อนๆ
- มองตลาดรถยนต์ปีนี้?
คาดว่าตลาดรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว เพราะมีปัจจัยลบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ขณะที่กำลังซื้อช่วงต้นปีก็ถูกดึงไปใช้ในปีที่แล้วจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ตลอดจนผู้บริโภคติดล็อกการถือครองรถยนต์ 5 ปีในโครงการรถยนต์คันแรก ดังนั้นเราคาดว่าตลาดปีนี้น่าจะทำยอดขายใกล้เคียงปีที่แล้ว หรือลดลงเล็กน้อย
- เป้าหมายการขายซูซูกิ?
ปี 2558 เราทำยอดขายได้ 21,285 คัน เติบโต 5.5% และส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 2.29% เป็น 2.66% ส่วนปีนี้เราตั้งเป้าหมายการขายเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 คัน และครองส่วนแบ่งการตลาด 3%
ในจำนวน 24,000 คัน แบ่งเป็นรุ่น “สวิฟท์” 9,000 คัน “เซียส” 9,000 คัน “แคร์รี” 3,000 คัน “เซเลริโอ” 2,000 คัน และ “เออร์ติก้า” 1,000 คัน (นำเข้ามาจากอินโดนีเซีย)
ขณะที่การส่งออกจะเพิ่มขึ้นจาก 40,000 คัน เป็น 51,000 คัน โดยมี “เซเลริโอ” เป็นโมเดลสำคัญในการส่งออกไปทั่วโลก และปีนี้เตรียมขยายตลาดไปยังทวีปอเมริกาใต้อีกด้วย
- รถยนต์รุ่นใหม่ในปีนี้?
เร็วๆนี้เตรียมเปิดตัว “สวิฟท์ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน” และเอ็มพีวี “เออร์ติกา ไมเนอร์เชนจ์”
- แผนระยะกลางของซูซูกิ?
เราลงทุนในเมืองไทยไปกว่า 20,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2563 จะต้องทำยอดขายให้ถึง 50,000 คัน พร้อมครองส่วนแบ่งการตลาดเป็น 5%
- ยังมั่นใจว่าสามารถทำได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน?
แม้ภาพรวมตลาดจะตก แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์จะพบว่า ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
“เรามีอีโคคาร์ให้เลือกครบทุกความต้องการ ทั้ง เซเลริโอที่ให้ความคุ้มค่า ประหยัด เซียสสำหรับคนเริ่มมีครอบครัว และสวิฟท์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีบุคลิกเฉพาะตัว”
โดยจุดแข็งของซูซูกิคือ เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และราคาสามารถเข้าถึงได้ เพราะพวกรถไฟฟ้า หรือรถไฮบริดยังมีราคาสูงอยู่ ขณะเดียวกันเรามองว่าเทรนด์การซื้อรถจะเปลี่ยนจากปิกอัพ มาเป็นรถยนต์อีโคคาร์ที่ประหยัดและเพียงพอต่อการใช้งานชีวิตประจำวันมากขึ้น
- ซูซูกิและอีโคคาร์เฟส2 มีความคืบหน้าอย่างไร?
รถยนต์ที่เตรียมทำตลาดจะเป็นโมเดลใหม่ที่ทำตามข้อกำหนดทุกอย่าง แต่รายละเอียดยังไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้ ส่วนระยะเวลาการเปิดตัวต้องมาก่อนเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2563 แน่นอน
- แผนสร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย?
เราพยายามนำเสนอสินค้าคุณภาพ นำเสนอบริการด้วยจิตใจ ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก และสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกับคนไทยตลอดไป อันสอดคล้องกับแผนเพิ่มโชว์รูม-ศูนย์บริการเป็น 110 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 99 แห่ง ให้ครอบคลุมการดูแลลูกค้าทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring
“ซูซูกิ”เป็นค่ายรถยนต์น้องใหม่หากเทียบกับแบรนด์เพื่อนร่วมชาติ เพราะเพิ่งลงหลักปักฐานลุยธุรกิจในไทยจริงจังหลังรัฐบาลเปิดโครงการอีโคคาร์ เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว และมีแนวทางชัดเจนในการทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก....แผนงานปีนี้เป็นอย่างไร รวมถึงความคืบหน้าในโครงการอีโคคาร์ เฟส2 และเป้าหมายในระยะต่อไป สัมภาษณ์ “โยจิ มุโรซะกะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งสดๆร้อนๆ
- มองตลาดรถยนต์ปีนี้?
คาดว่าตลาดรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว เพราะมีปัจจัยลบ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ขณะที่กำลังซื้อช่วงต้นปีก็ถูกดึงไปใช้ในปีที่แล้วจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ตลอดจนผู้บริโภคติดล็อกการถือครองรถยนต์ 5 ปีในโครงการรถยนต์คันแรก ดังนั้นเราคาดว่าตลาดปีนี้น่าจะทำยอดขายใกล้เคียงปีที่แล้ว หรือลดลงเล็กน้อย
- เป้าหมายการขายซูซูกิ?
ปี 2558 เราทำยอดขายได้ 21,285 คัน เติบโต 5.5% และส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มจาก 2.29% เป็น 2.66% ส่วนปีนี้เราตั้งเป้าหมายการขายเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 คัน และครองส่วนแบ่งการตลาด 3%
ในจำนวน 24,000 คัน แบ่งเป็นรุ่น “สวิฟท์” 9,000 คัน “เซียส” 9,000 คัน “แคร์รี” 3,000 คัน “เซเลริโอ” 2,000 คัน และ “เออร์ติก้า” 1,000 คัน (นำเข้ามาจากอินโดนีเซีย)
ขณะที่การส่งออกจะเพิ่มขึ้นจาก 40,000 คัน เป็น 51,000 คัน โดยมี “เซเลริโอ” เป็นโมเดลสำคัญในการส่งออกไปทั่วโลก และปีนี้เตรียมขยายตลาดไปยังทวีปอเมริกาใต้อีกด้วย
- รถยนต์รุ่นใหม่ในปีนี้?
เร็วๆนี้เตรียมเปิดตัว “สวิฟท์ รุ่นลิมิเต็ดอิดิชัน” และเอ็มพีวี “เออร์ติกา ไมเนอร์เชนจ์”
- แผนระยะกลางของซูซูกิ?
เราลงทุนในเมืองไทยไปกว่า 20,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2563 จะต้องทำยอดขายให้ถึง 50,000 คัน พร้อมครองส่วนแบ่งการตลาดเป็น 5%
- ยังมั่นใจว่าสามารถทำได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน?
แม้ภาพรวมตลาดจะตก แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์จะพบว่า ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
“เรามีอีโคคาร์ให้เลือกครบทุกความต้องการ ทั้ง เซเลริโอที่ให้ความคุ้มค่า ประหยัด เซียสสำหรับคนเริ่มมีครอบครัว และสวิฟท์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีบุคลิกเฉพาะตัว”
โดยจุดแข็งของซูซูกิคือ เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และราคาสามารถเข้าถึงได้ เพราะพวกรถไฟฟ้า หรือรถไฮบริดยังมีราคาสูงอยู่ ขณะเดียวกันเรามองว่าเทรนด์การซื้อรถจะเปลี่ยนจากปิกอัพ มาเป็นรถยนต์อีโคคาร์ที่ประหยัดและเพียงพอต่อการใช้งานชีวิตประจำวันมากขึ้น
- ซูซูกิและอีโคคาร์เฟส2 มีความคืบหน้าอย่างไร?
รถยนต์ที่เตรียมทำตลาดจะเป็นโมเดลใหม่ที่ทำตามข้อกำหนดทุกอย่าง แต่รายละเอียดยังไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้ ส่วนระยะเวลาการเปิดตัวต้องมาก่อนเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2563 แน่นอน
- แผนสร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย?
เราพยายามนำเสนอสินค้าคุณภาพ นำเสนอบริการด้วยจิตใจ ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก และสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกับคนไทยตลอดไป อันสอดคล้องกับแผนเพิ่มโชว์รูม-ศูนย์บริการเป็น 110 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 99 แห่ง ให้ครอบคลุมการดูแลลูกค้าทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring