บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ บุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ เตรียมเปิดสาขาที่อินเดียในเดือนกันยายนนี้ หลังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ และอุตสาหกรรมยานยนต์ เหตุตลาดมีขนาดใหญ่และขยายตัวได้อีกมาก ด้านผู้บริหาร “นรากร ราชพลสิทธิ์” มั่นใจดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้เพิ่มเป็น 10% จากปีก่อน 6.3% ก่อนจะแตะ 50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
นายนรากร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ EUREKA กล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดสาขาที่ประเทศอินเดียในเดือนกันยายนนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต มีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตอย่างโดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะช่วยสนับสนุนฐานรายได้ในอนาคตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ การขยายตลาดไปยังอินเดียนอกจากให้บริการลูกค้ารายเดิมแล้ว ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมด้วย โดยปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทที่อยู่ในอินเดีย ได้แก่ มารูติ ซูซูกิ (Maruti Suzuki) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอินเดีย และ อาเรสตี้ อินเดีย (Ahresthy India) ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
“การลงทุนตลาดต่างประเทศในปีแรกจะเน้นการขายและบริการ ส่วนปีที่สองจะเป็นการประกอบเครื่องจักร และปีที่สามจะเป็นการผลิตเครื่องจักร โดยตั้งเป้าปีนี้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 6.3% และวางเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 50%” นายนรากร กล่าว
นายนรากร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเป็นการวางฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ส่วนสาขาในประเทศอินโดนีเซียนั้น ได้เริ่มเปิดดำเนินการแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะนี้เริ่มมีออเดอร์เข้ามาแล้ว
นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทมีแผนเปิดสาขาที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากเล็งเห็นว่า ประเทศดังกล่าวมีศักยภาพในการเติบโต โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการรับพนักงานชาวเวียดนามมาเพื่อเรียนรู้งานในประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2557 นั้น นายนรากร กล่าวว่า น่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 2/2557 หลังจากภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยค่ายรถยนต์ต่างๆ เริ่มกลับมาผลิตตามปกติจากก่อนหน้าที่ชะลอแผนลงทุนไว้ ทำให้บริษัทฯ มีคำสั่งซื้อเข้ามาสนับสนุนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) 142 ล้านบาท และงานที่อยู่ระหว่างเจรจาและรอเซ็นสัญญา (Pipeline) 136 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้
“แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรกเพราะหลายๆ ค่ายรถยนต์เริ่มกลับมาลงทุนแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าในครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัวลงและอุตสาหกรรมอื่นได้รับผลกระทบ ดังนั้น บริษัทจึงได้กระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น” นายนรากร กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 17 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) คาดว่าน่าจะได้รับข้อสรุปภายในปีนี้ โดยพันธมิตรที่เข้ามานั้นจะช่วยส่งเสริมธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นายนรากร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ EUREKA กล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดสาขาที่ประเทศอินเดียในเดือนกันยายนนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต มีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตอย่างโดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะช่วยสนับสนุนฐานรายได้ในอนาคตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ การขยายตลาดไปยังอินเดียนอกจากให้บริการลูกค้ารายเดิมแล้ว ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมด้วย โดยปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทที่อยู่ในอินเดีย ได้แก่ มารูติ ซูซูกิ (Maruti Suzuki) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในอินเดีย และ อาเรสตี้ อินเดีย (Ahresthy India) ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
“การลงทุนตลาดต่างประเทศในปีแรกจะเน้นการขายและบริการ ส่วนปีที่สองจะเป็นการประกอบเครื่องจักร และปีที่สามจะเป็นการผลิตเครื่องจักร โดยตั้งเป้าปีนี้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 6.3% และวางเป้าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 50%” นายนรากร กล่าว
นายนรากร กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเป็นการวางฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ส่วนสาขาในประเทศอินโดนีเซียนั้น ได้เริ่มเปิดดำเนินการแล้วเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะนี้เริ่มมีออเดอร์เข้ามาแล้ว
นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทมีแผนเปิดสาขาที่ประเทศเวียดนาม เนื่องจากเล็งเห็นว่า ประเทศดังกล่าวมีศักยภาพในการเติบโต โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการรับพนักงานชาวเวียดนามมาเพื่อเรียนรู้งานในประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2557 นั้น นายนรากร กล่าวว่า น่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 2/2557 หลังจากภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยค่ายรถยนต์ต่างๆ เริ่มกลับมาผลิตตามปกติจากก่อนหน้าที่ชะลอแผนลงทุนไว้ ทำให้บริษัทฯ มีคำสั่งซื้อเข้ามาสนับสนุนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) 142 ล้านบาท และงานที่อยู่ระหว่างเจรจาและรอเซ็นสัญญา (Pipeline) 136 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้
“แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรกเพราะหลายๆ ค่ายรถยนต์เริ่มกลับมาลงทุนแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าในครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัวลงและอุตสาหกรรมอื่นได้รับผลกระทบ ดังนั้น บริษัทจึงได้กระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น” นายนรากร กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 17 ล้านหุ้น ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) คาดว่าน่าจะได้รับข้อสรุปภายในปีนี้ โดยพันธมิตรที่เข้ามานั้นจะช่วยส่งเสริมธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น