ตลอดทั้งปี 2015 มีรถยนต์ในสายการผลิตเปิดตัวออกสู่ตลาดมากมายและแน่นอนว่ามีทั้งรุ่นที่น่าสนใจและน่าสนใจน้อยหน่อยแต่นี่คือ10 รถยนต์ในสายการผลิตที่ทางทีมงานคัดเลือกมาโดยอ้างอิงจากความน่าสนใจทั้งความใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับตลาดรถยนต์เมืองไทยการเป็นโมเดลที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของบริษัท และรุ่นที่มีสมรรถนะและความสวยสปอร์ตแบบสุดๆ
Honda Civic :น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปีทองของ Civic เพราะตอนช่วงต้นปีเปิดตัวเวอร์ชันตัวแรงของตัวถังแฮทช์แบ็คในเวอร์ชัน Type R ที่มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี Di เทอร์โบที่มีกำลังสูงถึง 300 แรงม้าและมาถึงปลายปีก็เป็นคิวของตัวถังใหม่ของ Civic เวอร์ชันอเมริกันที่คนไทยคุ้นเคยกันดีโดยจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น FB และคราวนี้มาแปลกตรงที่ Honda เลือกเปิดตัวรุ่นซีดานก่อนแล้วเมื่อค่อนมาทางปลายปีค่อยถึงคิวของคูเป้
Civic ใหม่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยและสปอร์ตขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในด้านการออกแบบแผงมาตรวัดที่ไม่ได้เป็นแบบ 2 ระดับเหมือนกับ FD/FA และ FB ขณะที่ทางเลือกของเครื่องยนต์มี 2 แบบทั้งรุ่น 4 สูบ 2,000 ซีซี 158 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือ CVT และตัวแรงแบบเทอร์โบ 4 สูบ 1,500 ซีซีเทอร์โบพร้อมระบบ Di จ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรงมีกำลังสูงสุด 174 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 22.3 กก.-ม.จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
BMW 7-Series : ซีดานหรูสุดไฮเทคที่ชูประเด็นถอยหลังและเดินหน้าออกจากที่จอดเองได้ด้วยระบบ Remote Control Parking โดย Series 7 ใหม่ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของรถยนต์หรูรุ่นนี้นับตั้งแต่ปี 1977และมากับรหัสตัวถัง G11 ของรุ่นฐานล้อปกติมีความยาว 3,070 มิลลิเมตรและรหัส G12 สำหรับรุ่นฐานล้อยาวหรือ LWB ที่มีความยาว 3,210 มิลลิเมตร
ทางเลือกของขุมพลังในการขับเคลื่อนมีการแบ่งออกเป็น 2 โซนในตอนนี้สำหรับตลาดอเมริกาเหนือจะมากับรุ่น 750i xDrive ใช้ขุมพลังวี8 4,400 ซีซีเทอร์โบคู่ 445 แรงม้าเป็นขุมพลังและรุ่น 740i ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเบนซิน 3,000 ซีซีเทอร์โบคู่ 320 แรงม้าทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
สำหรับตลาดยุโรปจะมากับรุ่น 740i และ 740iL ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันแต่กำลังขยับขึ้นมาเป็น326 แรงม้าเช่นเดียวกับรุ่น 750i ที่ใช้ขุมพลังวี8 เทอร์โบแต่กำลังขยับขึ้นมาเป็น 450 แรงม้าและเสริมด้วยรุ่น 730d และ 730dL เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 6 สูบ 3,000 ซีซี 265 แรงม้า
อีกรุ่นเป็นแบบPlug-in Hybrid ในรุ่น 740e xDriveใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซีเทอร์โบเป็นขุมพลังหลักพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
Acura NSX :แม้ว่าจะถูกอุ่นเครื่องจนไม่เหลืออะไรมให้ลุ้นอีกแล้วเมื่อตอนเปิดตัวคันจริงสำหรับขาย แต่ถึงกระนั้นการกลับมาของ NSX ที่จะใช้แบรนด์อาคูราสำหรับตลาดอเมริกาเหนือและบางแห่งของโลก (ขณะที่บางแห่งเช่นญี่ปุ่นใช้ชื่อ Honda) ก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีอยู่เสมอและมีความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ดี
ตัวรถแทบไม่มีการปรับปรุงในแง่ของการออกแบบและรูปลักษณ์ทั้งภายนอก-ภายในพร้อมเทคโนโลยี ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดที่มีขุมพลังเบนซินวี6 ทวินเทอร์โบ 3,500 ซีซีเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนและมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยทั้งด้านหน้าและด้านหลังส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะผลิตกำลังรวมกันออกมาได้ในระดับ 507 แรงม้าเลยทีเดียวและใช้เวลาเพียง 2.9 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงโดยมีความเร็วสูงสุด 307 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Tesla Model X :ผลผลิตที่ 3 จากค่าย Tesla ที่ขยับแนวรุกลงสู่ตลาดครอสส์โอเวอร์เอาใจคนรักความอเนกประสงค์และใช้ชื่อว่า Model Xที่มาพร้อมกับความสวยและโฉบเฉี่ยวโดยมีรูปลักษณ์ด้านหน้าคล้ายกับ Model S ซึ่งเป็นซีดานระดับหรูส่วนด้านท้ายมีการออกแบบให้ลาดเทและเป็นตัวถังทรง 5 ประตูแต่ที่เด่นสุดๆคือประตูบานหลังเปิดขึ้นในลักษณะแบบปีกนกเหมือนกับรถสปอร์ตซึ่งทาง Tesla เรียกว่า falcon Wing (ไม่ใช่Gullwingsเหมือนกับ Benz) ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกจากห้องโดยสาร
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในตัวรถมีทั้งหมด2 ชุดตัวที่อยู่บนเพลาหน้ามีกำลังสูงสุด 259 แรงม้าและด้านหลังมีกำลัง 503 แรงม้าขับเคลื่อนในรูปแบบ 4 ล้อและให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมใช้เวลา 3.2 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงและมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงส่วนการชาร์จของแบตเตอรี่ระดับ 90 kWh เมื่อเต็มแล้วสามารถแล่นได้ไกลถึง 250 ไมล์หรือกว่า 400 กิโลเมตรเลยทีเดียว
Ford GT :การกลับมาของรหัสแห่งความแรง GT ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาซูเปอร์คาร์ที่อิงกับตัวแข่ง GT40 ซึ่งพาฟอร์ดประสบความสำเร็จในการแข่งขัน Le Mans ช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 โดย GT รุ่นนี้ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมที่วางขายในระหว่างปี 2005-2007
ในรุ่นใหม่นี้ยังมากับเลย์เอาท์ของเครื่องยนต์แบบวางกลางลำโดยขุมพลังที่อยู่ตรงกลางเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีEcoBoost ที่มีเครื่องยนต์วี6 3,500 ซีซีเป็นขุมพลังหลักและรีดกำลังให้เร้าใจสุดๆด้วยเทอร์โบคู่ซึ่งแม้ว่าฟอร์ดจะยังไม่เปิดเผยสเป็กออกมาแต่ระบุว่ากำลังสูงสุดมีมากกว่า 600 แรงม้าอย่างแน่นอน
Alfa Giulia :ขณะที่คนส่วนใหญ่เลือกเมินรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังแต่ Alfa กลับสวนกระแสและหันมาจับตลาดกลุ่มนี้ด้วยสปอร์ตซีดานรุ่นพิเศษจูเลียที่แรงและเร้าใจสุดโดยเป็นการพัฒนาบนพื้นตัวถังรุ่นใหม่ Giorgio Platform มีอัตราการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง 50-50% ระบบช่วงล่างหน้าแบบปีกนก 2 ชั้นและด้านหลังแบบมัลติลิงค์ขณะที่เพลากลางผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดน้ำหนัก
เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมาจะพบลกับความเร้าใจจากเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซีทวินเทอร์โบในเวอร์ชั่นQuadrifoglio และว่ากันว่าได้รับความร่วมมือจากทีมวิศวกรของบริษัทในเครือเฟียตอย่าง Ferrari ให้มาร่วมโมดิฟายเพิ่มความเร้าใจจนมีตัวเลขอยุดอยู่ที่ 510 แรงม้าและพกอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.9 วินาทีเลยทีเดียว
Mercedes-Benz SLC : อีกครั้งที่ Mercedes-Benz ปรับทัพ และนั่นทำให้ SLK กลายเป็นอดีต และถูกแทนที่ด้วยสายพันธุ์ใหม่อย่าง SLC ซึ่งความจริงแล้วคือ การไมเนอร์เชนจ์ของ SLK รุ่นปัจจุบัน แต่ในเมื่อมีการเปลี่ยนครั้งใหญ่แล่ว ทาง Benz เลยจัดการเปลี่ยนรหัสตัวถังเป็น R173 แทนที่ R172
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ทำตลาดจะเริ่มกับรุ่น SLC180 แบบ 4 สูบ 1,600 ซีซี เทอร์โบ 156 แรงม้า ตามด้วย SLC200 เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบเหมือนกัน แต่ขยับความจุเป็น 2,000 ซีซี มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า SLC300 เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี Di 245 แรงม้า และรุ่นเทอร์โบดีเซล SLC250CDI แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี 204 แรงม้า ส่วนรุ่นท็อปเป็นตัวแรง AMG ในรหัส SL43AMG ใช้เครื่องยนต์เบนซินวี6 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 92 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Bentley Bentayga : SUV ระดับหรูรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley ที่มาพร้อมกับชื่อสุดแปลกโดยเป็นการพัฒนาต่อจากต้นแบบรุ่น EXP9F ที่เปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดก็มีแบบเดียวแต่เป็นบล็อกใหม่โดยใช้รูปแบบขุมพลัง W12 เหมือนเดิมมีความจุ 6,000 ซีซีเสริมด้วยเทอร์โบคู่รีดกำลังออกมาได้ 608 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 91 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่ผู้ขับขี่สามารถปรับอัตราทดได้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลุยวิบากส่วนฝีเท้าในเรื่องอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลา 4.1 วินาทีและความเร็วสูงสุด 301 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดตัวแล้วก็จริงแต่การทำตลาดจะมีขึ้นในปีหน้า
Land Rover EvoqueConvertible :แม้ว่าจะไม่เป็นเจ้าแรกในตลาดที่มีแนวคิด SUV แบบเปิดประทุนแต่ทว่าแลนด์โรเวอร์ก็ปลุกกระแส SUV แบบ Convertible ให้กลับมาอีกครั้งและจัดการจับเอาEvoque ความสปอร์ตที่แปะแบรนด์ย่อยอย่างเรนจ์โรเวอร์มาเป็นรุ่นเริ่มต้นในการผลิต
สำหรับผลผลิตนี้จะมากับตัวถังแบบ2 ประตูพร้อมหลังคาผ้าใบแบบปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้าซึ่งใช้เวลาเพียง 18 วินาทีและเพิ่มขึ้นเป็น 21 วินาทีเมื่อต้องเปิดประทุนในระหว่างที่ขับด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยทางแลนด์โรเวอร์เผยว่าแม้หลังคาอ่อนที่ถูกพับลงมาจะถูกเก็บเอาไว้ที่ฝากระโปรงหลัง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากมายเพราะว่ายังมีพื้นที่เก็บอยู่ในระดับ 251 ลิตร (รุ่นปกติ 420 ลิตร)
เครื่องยนต์ที่ทำตคลาดมีให้เลือกทั้งรุ่น 4 สูบ 2,000 ซีซีเบนซินเทอร์โบ 240 แรงม้าจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะและรุ่นเทอร์โบดีเซลแบบ TD4 4 สูบ 2,000 ซีซี 180 แรงม้าการทำตลาดจะมีขึ้นในต้นปีหน้ากับราคาราวๆ 47,500 ปอนด์หรือ 2.5 ล้านบาท
Ferrari F12tdf :ดูได้แต่ถ้าคิดจะซื้อตอนนี้คงหมดโอกาสไปแล้วเพราะมีข่าวแจ้งว่ายอดผลิตจำนวน 799 คันถูกจับจองไปจนหมดแล้วและน่าจะกลายเป็นรถขึ้นแท่นสำหรับ Collector ในเร็วๆนี้โดยF12tdf เป็นการอัพเกรดสเป็กของ F1Berlinettaทั้งหน้าและสมรรถนะอีกทั้งยังลดน้ำหนักลงอีก 110 กิโลกรัม
โดยเครื่องยนต์วี12 ที่มีความจุ 6,300 ซีซีได้รับการขยับกำลังขึ้นมาเป็น 780 แรงม้าที่ 8,500 รอบ/นาทีหรือเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 40 แรงม้าและเมื่อมองในแง่ของฝีเท้าแล้วจะพบว่าตัวรถสามารถแล่นทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 2.9 วินาทีเท่านั้นและ 7.9 วินาทีเมื่อไต่ขึ้นระดับความเร็วระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงแถมยังซิ่งทำเวลาต่อรอบในFioranoซึ่งเป็นสนามทดสอบของ Ferraro ด้วยเวลาสวยหรูอย่าง 1 นาที 21 วินาที
Honda Civic :น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปีทองของ Civic เพราะตอนช่วงต้นปีเปิดตัวเวอร์ชันตัวแรงของตัวถังแฮทช์แบ็คในเวอร์ชัน Type R ที่มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี Di เทอร์โบที่มีกำลังสูงถึง 300 แรงม้าและมาถึงปลายปีก็เป็นคิวของตัวถังใหม่ของ Civic เวอร์ชันอเมริกันที่คนไทยคุ้นเคยกันดีโดยจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น FB และคราวนี้มาแปลกตรงที่ Honda เลือกเปิดตัวรุ่นซีดานก่อนแล้วเมื่อค่อนมาทางปลายปีค่อยถึงคิวของคูเป้
Civic ใหม่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยและสปอร์ตขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในด้านการออกแบบแผงมาตรวัดที่ไม่ได้เป็นแบบ 2 ระดับเหมือนกับ FD/FA และ FB ขณะที่ทางเลือกของเครื่องยนต์มี 2 แบบทั้งรุ่น 4 สูบ 2,000 ซีซี 158 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือ CVT และตัวแรงแบบเทอร์โบ 4 สูบ 1,500 ซีซีเทอร์โบพร้อมระบบ Di จ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรงมีกำลังสูงสุด 174 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 22.3 กก.-ม.จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
BMW 7-Series : ซีดานหรูสุดไฮเทคที่ชูประเด็นถอยหลังและเดินหน้าออกจากที่จอดเองได้ด้วยระบบ Remote Control Parking โดย Series 7 ใหม่ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของรถยนต์หรูรุ่นนี้นับตั้งแต่ปี 1977และมากับรหัสตัวถัง G11 ของรุ่นฐานล้อปกติมีความยาว 3,070 มิลลิเมตรและรหัส G12 สำหรับรุ่นฐานล้อยาวหรือ LWB ที่มีความยาว 3,210 มิลลิเมตร
ทางเลือกของขุมพลังในการขับเคลื่อนมีการแบ่งออกเป็น 2 โซนในตอนนี้สำหรับตลาดอเมริกาเหนือจะมากับรุ่น 750i xDrive ใช้ขุมพลังวี8 4,400 ซีซีเทอร์โบคู่ 445 แรงม้าเป็นขุมพลังและรุ่น 740i ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเบนซิน 3,000 ซีซีเทอร์โบคู่ 320 แรงม้าทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
สำหรับตลาดยุโรปจะมากับรุ่น 740i และ 740iL ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันแต่กำลังขยับขึ้นมาเป็น326 แรงม้าเช่นเดียวกับรุ่น 750i ที่ใช้ขุมพลังวี8 เทอร์โบแต่กำลังขยับขึ้นมาเป็น 450 แรงม้าและเสริมด้วยรุ่น 730d และ 730dL เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 6 สูบ 3,000 ซีซี 265 แรงม้า
อีกรุ่นเป็นแบบPlug-in Hybrid ในรุ่น 740e xDriveใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซีเทอร์โบเป็นขุมพลังหลักพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
Acura NSX :แม้ว่าจะถูกอุ่นเครื่องจนไม่เหลืออะไรมให้ลุ้นอีกแล้วเมื่อตอนเปิดตัวคันจริงสำหรับขาย แต่ถึงกระนั้นการกลับมาของ NSX ที่จะใช้แบรนด์อาคูราสำหรับตลาดอเมริกาเหนือและบางแห่งของโลก (ขณะที่บางแห่งเช่นญี่ปุ่นใช้ชื่อ Honda) ก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีอยู่เสมอและมีความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ดี
ตัวรถแทบไม่มีการปรับปรุงในแง่ของการออกแบบและรูปลักษณ์ทั้งภายนอก-ภายในพร้อมเทคโนโลยี ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดที่มีขุมพลังเบนซินวี6 ทวินเทอร์โบ 3,500 ซีซีเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนและมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยทั้งด้านหน้าและด้านหลังส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะผลิตกำลังรวมกันออกมาได้ในระดับ 507 แรงม้าเลยทีเดียวและใช้เวลาเพียง 2.9 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงโดยมีความเร็วสูงสุด 307 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Tesla Model X :ผลผลิตที่ 3 จากค่าย Tesla ที่ขยับแนวรุกลงสู่ตลาดครอสส์โอเวอร์เอาใจคนรักความอเนกประสงค์และใช้ชื่อว่า Model Xที่มาพร้อมกับความสวยและโฉบเฉี่ยวโดยมีรูปลักษณ์ด้านหน้าคล้ายกับ Model S ซึ่งเป็นซีดานระดับหรูส่วนด้านท้ายมีการออกแบบให้ลาดเทและเป็นตัวถังทรง 5 ประตูแต่ที่เด่นสุดๆคือประตูบานหลังเปิดขึ้นในลักษณะแบบปีกนกเหมือนกับรถสปอร์ตซึ่งทาง Tesla เรียกว่า falcon Wing (ไม่ใช่Gullwingsเหมือนกับ Benz) ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกจากห้องโดยสาร
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในตัวรถมีทั้งหมด2 ชุดตัวที่อยู่บนเพลาหน้ามีกำลังสูงสุด 259 แรงม้าและด้านหลังมีกำลัง 503 แรงม้าขับเคลื่อนในรูปแบบ 4 ล้อและให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมใช้เวลา 3.2 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงและมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงส่วนการชาร์จของแบตเตอรี่ระดับ 90 kWh เมื่อเต็มแล้วสามารถแล่นได้ไกลถึง 250 ไมล์หรือกว่า 400 กิโลเมตรเลยทีเดียว
Ford GT :การกลับมาของรหัสแห่งความแรง GT ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาซูเปอร์คาร์ที่อิงกับตัวแข่ง GT40 ซึ่งพาฟอร์ดประสบความสำเร็จในการแข่งขัน Le Mans ช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 โดย GT รุ่นนี้ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมที่วางขายในระหว่างปี 2005-2007
ในรุ่นใหม่นี้ยังมากับเลย์เอาท์ของเครื่องยนต์แบบวางกลางลำโดยขุมพลังที่อยู่ตรงกลางเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีEcoBoost ที่มีเครื่องยนต์วี6 3,500 ซีซีเป็นขุมพลังหลักและรีดกำลังให้เร้าใจสุดๆด้วยเทอร์โบคู่ซึ่งแม้ว่าฟอร์ดจะยังไม่เปิดเผยสเป็กออกมาแต่ระบุว่ากำลังสูงสุดมีมากกว่า 600 แรงม้าอย่างแน่นอน
Alfa Giulia :ขณะที่คนส่วนใหญ่เลือกเมินรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังแต่ Alfa กลับสวนกระแสและหันมาจับตลาดกลุ่มนี้ด้วยสปอร์ตซีดานรุ่นพิเศษจูเลียที่แรงและเร้าใจสุดโดยเป็นการพัฒนาบนพื้นตัวถังรุ่นใหม่ Giorgio Platform มีอัตราการกระจายน้ำหนักหน้า-หลัง 50-50% ระบบช่วงล่างหน้าแบบปีกนก 2 ชั้นและด้านหลังแบบมัลติลิงค์ขณะที่เพลากลางผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดน้ำหนัก
เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมาจะพบลกับความเร้าใจจากเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซีทวินเทอร์โบในเวอร์ชั่นQuadrifoglio และว่ากันว่าได้รับความร่วมมือจากทีมวิศวกรของบริษัทในเครือเฟียตอย่าง Ferrari ให้มาร่วมโมดิฟายเพิ่มความเร้าใจจนมีตัวเลขอยุดอยู่ที่ 510 แรงม้าและพกอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.9 วินาทีเลยทีเดียว
Mercedes-Benz SLC : อีกครั้งที่ Mercedes-Benz ปรับทัพ และนั่นทำให้ SLK กลายเป็นอดีต และถูกแทนที่ด้วยสายพันธุ์ใหม่อย่าง SLC ซึ่งความจริงแล้วคือ การไมเนอร์เชนจ์ของ SLK รุ่นปัจจุบัน แต่ในเมื่อมีการเปลี่ยนครั้งใหญ่แล่ว ทาง Benz เลยจัดการเปลี่ยนรหัสตัวถังเป็น R173 แทนที่ R172
ทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ทำตลาดจะเริ่มกับรุ่น SLC180 แบบ 4 สูบ 1,600 ซีซี เทอร์โบ 156 แรงม้า ตามด้วย SLC200 เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบเหมือนกัน แต่ขยับความจุเป็น 2,000 ซีซี มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า SLC300 เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี Di 245 แรงม้า และรุ่นเทอร์โบดีเซล SLC250CDI แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี 204 แรงม้า ส่วนรุ่นท็อปเป็นตัวแรง AMG ในรหัส SL43AMG ใช้เครื่องยนต์เบนซินวี6 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 92 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Bentley Bentayga : SUV ระดับหรูรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley ที่มาพร้อมกับชื่อสุดแปลกโดยเป็นการพัฒนาต่อจากต้นแบบรุ่น EXP9F ที่เปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดก็มีแบบเดียวแต่เป็นบล็อกใหม่โดยใช้รูปแบบขุมพลัง W12 เหมือนเดิมมีความจุ 6,000 ซีซีเสริมด้วยเทอร์โบคู่รีดกำลังออกมาได้ 608 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 91 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่ผู้ขับขี่สามารถปรับอัตราทดได้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลุยวิบากส่วนฝีเท้าในเรื่องอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลา 4.1 วินาทีและความเร็วสูงสุด 301 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดตัวแล้วก็จริงแต่การทำตลาดจะมีขึ้นในปีหน้า
Land Rover EvoqueConvertible :แม้ว่าจะไม่เป็นเจ้าแรกในตลาดที่มีแนวคิด SUV แบบเปิดประทุนแต่ทว่าแลนด์โรเวอร์ก็ปลุกกระแส SUV แบบ Convertible ให้กลับมาอีกครั้งและจัดการจับเอาEvoque ความสปอร์ตที่แปะแบรนด์ย่อยอย่างเรนจ์โรเวอร์มาเป็นรุ่นเริ่มต้นในการผลิต
สำหรับผลผลิตนี้จะมากับตัวถังแบบ2 ประตูพร้อมหลังคาผ้าใบแบบปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้าซึ่งใช้เวลาเพียง 18 วินาทีและเพิ่มขึ้นเป็น 21 วินาทีเมื่อต้องเปิดประทุนในระหว่างที่ขับด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยทางแลนด์โรเวอร์เผยว่าแม้หลังคาอ่อนที่ถูกพับลงมาจะถูกเก็บเอาไว้ที่ฝากระโปรงหลัง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากมายเพราะว่ายังมีพื้นที่เก็บอยู่ในระดับ 251 ลิตร (รุ่นปกติ 420 ลิตร)
เครื่องยนต์ที่ทำตคลาดมีให้เลือกทั้งรุ่น 4 สูบ 2,000 ซีซีเบนซินเทอร์โบ 240 แรงม้าจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะและรุ่นเทอร์โบดีเซลแบบ TD4 4 สูบ 2,000 ซีซี 180 แรงม้าการทำตลาดจะมีขึ้นในต้นปีหน้ากับราคาราวๆ 47,500 ปอนด์หรือ 2.5 ล้านบาท
Ferrari F12tdf :ดูได้แต่ถ้าคิดจะซื้อตอนนี้คงหมดโอกาสไปแล้วเพราะมีข่าวแจ้งว่ายอดผลิตจำนวน 799 คันถูกจับจองไปจนหมดแล้วและน่าจะกลายเป็นรถขึ้นแท่นสำหรับ Collector ในเร็วๆนี้โดยF12tdf เป็นการอัพเกรดสเป็กของ F1Berlinettaทั้งหน้าและสมรรถนะอีกทั้งยังลดน้ำหนักลงอีก 110 กิโลกรัม
โดยเครื่องยนต์วี12 ที่มีความจุ 6,300 ซีซีได้รับการขยับกำลังขึ้นมาเป็น 780 แรงม้าที่ 8,500 รอบ/นาทีหรือเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 40 แรงม้าและเมื่อมองในแง่ของฝีเท้าแล้วจะพบว่าตัวรถสามารถแล่นทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 2.9 วินาทีเท่านั้นและ 7.9 วินาทีเมื่อไต่ขึ้นระดับความเร็วระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงแถมยังซิ่งทำเวลาต่อรอบในFioranoซึ่งเป็นสนามทดสอบของ Ferraro ด้วยเวลาสวยหรูอย่าง 1 นาที 21 วินาที
