ตอนแรกนึกว่าเวอร์ชัน LT หรือ Long Tail ที่พัฒนาแนวคิดมาจากรุ่น F1 ตัวแข่ง Le Mans จะมีแค่ตัวถังคูเป้ แต่ดูเหมือนว่าทางแม็คลาเรนจะไม่พอใจอยู่นั้น และเพิ่งเผยโฉมเวอร์ชันเปิดประทุนของ LT ออกมาให้เห็นกัน
เหมือนกับรุ่นคูเป้ เวอร์ชันเปิดประทุนของ 675LT จะมีการผลิตออกมาเพียง 500 คันเท่านั้น โดยจะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตา และตัวถังด้านท้ายที่ยาวยื่นออกไปจากรุ่นมาตรฐาน พร้อมกับเชิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า LT และมีหลังคาแข็งแบบพับได้ 3 ชิ้น หรือ Retractable Roof โดยจะพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า
สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดก็ไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้เป็นขุมพลังวี8 3,800 ซีซี เทอร์โบคู่ มีกำลังสูงสุด 675 แรงม้า ที่ 7,100 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 71.33 กก.-ม. ที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที ใช้เวลาเพียง 2.9 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งถือว่าเร็วกว่าคู่ปรับอย่างเฟอร์รารี่ 488GTB Spyder อยู่ 0.1 วินาที ขณะที่การขยับขึ้นสู่ย่านความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้นใช้เวลา 8.1 วินาทีและมีความเร็วปลาย 326 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่าสยบทั้ง 488GTB Spyder และ Porsche 911 Turbo S
สิ่งเดียวที่ต่างจากตัวถังคูเป้เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาคือ ช่วงความกว้างล้อหน้า ซึ่งในรุ่นเปิดประทุน จะเพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของตัวถังที่เพิ่มขึ้นอีก 27% ที่ด้านหน้า และ 63% ที่ด้านหลัง ขณะเดียวกันน้ำหนักของตัวรถอยู่ที่ 1,270 กิโลกรัม และมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้าและหลัง 42:58% แต่กลับหนักกว่ารุ่นคูเป้ 40 กิโลกรัมอันเป็นผลมาจากชุดหลังคาแข็งพับได้
500 คันเท่านั้นที่จะมีการผลิตออกสู่ตลาด โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 285,450 ปอนด์ หรือ 14.8 ล้านบาท และเริ่มส่งมอบรถได้ในช่วงกลางปี 2016 เพราะคันจริงจะอวดโฉมให้เห็นในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2016 เดือนมีนาคม
เหมือนกับรุ่นคูเป้ เวอร์ชันเปิดประทุนของ 675LT จะมีการผลิตออกมาเพียง 500 คันเท่านั้น โดยจะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยสะดุดตา และตัวถังด้านท้ายที่ยาวยื่นออกไปจากรุ่นมาตรฐาน พร้อมกับเชิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า LT และมีหลังคาแข็งแบบพับได้ 3 ชิ้น หรือ Retractable Roof โดยจะพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า
สำหรับเครื่องยนต์ที่ทำตลาดก็ไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้เป็นขุมพลังวี8 3,800 ซีซี เทอร์โบคู่ มีกำลังสูงสุด 675 แรงม้า ที่ 7,100 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 71.33 กก.-ม. ที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที ใช้เวลาเพียง 2.9 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งถือว่าเร็วกว่าคู่ปรับอย่างเฟอร์รารี่ 488GTB Spyder อยู่ 0.1 วินาที ขณะที่การขยับขึ้นสู่ย่านความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้นใช้เวลา 8.1 วินาทีและมีความเร็วปลาย 326 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่าสยบทั้ง 488GTB Spyder และ Porsche 911 Turbo S
สิ่งเดียวที่ต่างจากตัวถังคูเป้เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาคือ ช่วงความกว้างล้อหน้า ซึ่งในรุ่นเปิดประทุน จะเพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของตัวถังที่เพิ่มขึ้นอีก 27% ที่ด้านหน้า และ 63% ที่ด้านหลัง ขณะเดียวกันน้ำหนักของตัวรถอยู่ที่ 1,270 กิโลกรัม และมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้าและหลัง 42:58% แต่กลับหนักกว่ารุ่นคูเป้ 40 กิโลกรัมอันเป็นผลมาจากชุดหลังคาแข็งพับได้
500 คันเท่านั้นที่จะมีการผลิตออกสู่ตลาด โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 285,450 ปอนด์ หรือ 14.8 ล้านบาท และเริ่มส่งมอบรถได้ในช่วงกลางปี 2016 เพราะคันจริงจะอวดโฉมให้เห็นในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2016 เดือนมีนาคม