บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัว “บีเอ็มดับยู ซีรี่ส์7” โฉมใหม่ ครั้งแรกใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Carbon Core ช่วยลดน้ำหนักรวมตัวรถได้มากถึง 130 กก. ทำให้ขุมพลัง 6 สูบ 3 ลิตร 326 แรงม้า พุ่งทยานทันใจ แต่ซดน้ำมันเพียง 14.3 กม./ลิตร พร้อมอัดแน่นเทคโนโลยีสุดล้ำ ปุ่มควบคุม iDrive และฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวมือ และผู้โดยสารตอนหลังสามารถควบคุมระบบความบันเทิง ผ่านจอสัมผัสบนแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว วางจำหน่ายในราคา 7-7.5ล้านบาท โดยจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป
แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ของตระกูลนี้ และถือเป็นที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เท่าที่เคยผลิตมา และเป็นมาตรฐานใหม่ของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในเซ็กเมนต์นี้ ที่มาพร้อมสมรรถนะและประสิทธิภาพใหม่แห่งการขับขี่ โดยที่นำเข้ามาทำตลาดในไทยเบื้องต้นเป็นรุ่น 740Li โฉมใหม่
“นับเป็นครั้งแรกที่คอนเซ็ปต์ Carbon Core นำมาใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ โดยเราได้นำหลักการของคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 มาใช้กับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ การผสมผสานที่ก้าวล้ำของการใช้วัสดุต่างๆ ทำให้ยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ทรงพลังสูงสุดและน้ำหนักเบาที่สุด แต่ยังคงความเป็นรถซีดานที่หรูหราและทรงประสิทธิภาพที่สุดด้วยเช่นกัน”
“แน่นอนว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่เท่านั้น เรายังได้สร้างสรรค์ความเป็นยานยนต์ระดับเฟิร์สคลาส สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วยเช่นกัน ลูกค้าของเราจะได้รับความรู้สึกพิเศษ จากการต้อนรับในแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย Light Carpet กับแนวไฟสามมิติที่ส่องทอดยาวจากแนวประตูด้านหน้าสู่พื้น Panorama Sky Lounge ที่ช่วยสร้างอารมณ์อันสมบูรณ์แบบด้วยแสงไฟจาก 15,000 ดวงภายใต้หลังคา เพื่อบรรยากาศในห้องโดยสารที่เหนือระดับยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกสีของไฟได้ตามใจชอบ และยังรวมถึง BMW Touch Command ด้วยจอแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วที่สามารถควบคุมความบันเทิงและความสะดวกสบายต่างๆ ได้อย่างเต็มที่”
“บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ เป็นการสร้างความหรูหราแห่งอนาคต ที่เริ่มขึ้นในวันนี้ ถือเป็นรุ่นแฟลกชิปของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู และยังเป็นยานยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในระดับอีลิตที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีอันล้ำสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
เอเดรียน ฟาน ฮอยดองก์ รองประธานอาวุโส บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ดีไซน์ กล่าวว่า สำหรับบีเอ็มดับเบิลยูเชื่อว่าอนาคตสามารถออกแบบได้ จุดประสงค์หลักของการพัฒนารถรุ่นใหม่ๆ คือ การสร้างสรรค์ความหรูหรา ล้ำสมัย ที่เหนือความคาดหมายของลูกค้า ในวิสัยทัศน์ของบีเอ็มดับเบิลยู ความหรูหราทันสมัยมาจากเทคโนโลยีที่เหนือกว่า และความพิถีพิถันใส่ใจอย่างสูงสุดในทุกรายละเอียด บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 รุ่นใหม่นี้ คือ ที่สุดของความหรูหรา ที่สุดของความสะดวกสบาย และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือรถที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ที่ดีที่สุดที่เราเคยสร้างขึ้นมา
รถยนต์รุ่นแฟลกชิปที่มาพร้อมสมรรถนะล้ำหน้าและรูปลักษณ์ดึงดูด
เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ เป็นรุ่นฐานล้อยาว มีขนาดความยาวของตัวรถ 5,238 มิลลิเมตร กว้าง 1,902 มิลลิเมตร สูง 1,485 มิลลิเมตร และเป็นรุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยูเท่าที่เคยผลิตมา และยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูที่ใช้ฟีเจอร์ Air Flap Control ซึ่งจะทำงานเมื่อระบบต้องการระบายความร้อน โดยนอกจากจะพัฒนาสมรรถนะด้านแอโรไดนามิกส์ให้กับรถแล้ว ยังเพิ่มความสะดุดตาให้กับส่วนหน้าของรถด้วยจำนวนซี่ของไตคู่บีเอ็มดับเบิลยูที่เพิ่มขึ้น ไฟหน้ายังได้รับการออกแบบขยายไปจนถึงขอบไต ในขณะที่ไฟทรงกลมคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลถูกจัดวางอย่างพอดี ช่วยทั้งการใช้งานและดึงดูดสายตา นอกจากนี้ ยังเป็นไฟแอลอีดี โดยมีให้เลือกแบบเลเซอร์ไลท์ด้วยเช่นกัน ซึ่งล้วนขับเน้นเทคโนโลยีอันละเอียดอ่อนที่เหนือชั้น ไฟหน้าแบบเลเซอร์ไลท์สามารถสังเกตได้จากแถบสีฟ้าตรงกลางของดวงไฟ
ครั้งแรกกับโครงสร้าง Carbon Core ช่วยน้ำหนักรวมของรถเบา
เทคโนโลยี BMW EfficientLightweight ช่วยลดน้ำหนักรวมของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ได้สูงสุดถึง 130 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ด้วยโครงสร้างตัวถังที่ผลิตด้วย Carbon Core ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เป็นรถยนต์รุ่นแรกในเซ็กเมนต์นี้ที่ใช้โครงสร้างผลิตจากพลาสติกเสริมเส้นใยคาร์บอน (CFRP) ผสมผสานกับโครงสร้างเหล็กและอะลูมิเนียม ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความมั่นคงของห้องโดยสาร ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถได้อย่างมาก
สมรรถนะและความสะดวกสบายของการขับขี่ที่ใช้งานในทุกสภาพ
เทคโนโลยีช่วงล่างในรุ่นมาตรฐาน ช่วยยกระดับสมรรถนะและคุณภาพในการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ในขณะเดียวกันความสมดุลย์ทั้งสองประการของสุนทรียภาพในการขับขี่ ได้ยกระดับให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ก้าวไปสู่จุดสูงสุดในเซ็กเมนต์รถยนต์หรู โดยในรุ่นมาตรฐานได้รวมช่วงล่างแบบถุงลม สำหรับเพลาขับทั้งหน้าและหลังและระบบควบคุมความนุ่มนวลของโช้กอัพเอาไว้ด้วย
นวัตกรรมใหม่ล่าสุดนี้มอบอิสระแห่งการขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกใช้งานโหมดที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานใน Sport Mode หรือ Eco Pro Mode เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ หรือเลือกใช้ ADAPTIVE mode ซึ่งสามารถเรียกใช้งานได้ผ่านสวิทซ์ควบคุมแบบใหม่ การตั้งค่าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบในการขับขี่และประเภทของเส้นทาง
การสั่งการด้วยระบบสัมผัสและการเคลื่อนไหวมือ
ในบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ใช้หน้าจอควบคุม iDrive ในระบบสัมผัสเป็นครั้งแรก ซึ่งนอกจากจะสามารถควบคุมระบบต่างๆ ในแบบเดิมแล้ว ระบบสัมผัสแบบใหม่นี้ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเลือกสั่งการและควบคุมจากการสัมผัสหน้าจอได้เช่นกัน
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นใหม่ของการใช้งานร่วมกับระบบ iDrive คือ การสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ หรือ BMW Gesture Control ซึ่งถูกนำมาใช้งานเป็นครั้งแรก เซ็นเซอร์ 3 มิติจะจับการเคลื่อนไหวของการสั่งงานระบบควบคุมความบันเทิงและการสื่อสาร ซึ่งใช้งานได้อย่างง่าย เช่น การปรับระดับเสียง การรับหรือปฏิเสธสายเรียกเข้าโทรศัพท์ เป็นต้น
เชื่อมต่อรถกับโลกภายนอกได้อย่างสมบูรณ์
นวัตกรรมของระบบควบคุมแบบมัลติฟังก์ชั่นซึ่งใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่นั้น มาในรูปแบบของบีเอ็มดับเบิลยู ทัช คอมมานด์ (BMW Touch Command) หรือควบคุมสั่งการด้วยระบบสัมผัสผ่านหน้าจอแท็บเล็ตพกพาขนาด 7 นิ้ว สามารถใช้งานได้จากทั้งภายในและนอกตัวรถ ซึ่งสามารถปรับและควบคุมระบบต่างๆ ของรถ ไม่ว่าจะเป็นการปรับที่นั่ง แสงไฟภายในตัวรถ การปรับอุณหภูมิ รวมถึงระบบความบันเทิงต่างๆ ระบบนำทาง และระบบการสื่อสาร และยังสามารถเล่นไฟล์เพลงและวิดีโอ รวมถึงใช้เป็นเกมส์คอนโซลได้อีกด้วย
สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับแห่งการโดยสาร
ด้วยบรรยากาศที่หรูหราภายในบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ที่ได้รับการออกแบบแสงไฟอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะไฟ Welcome Light Carpet ที่ให้ความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟด้วยเส้นนำสายตารอบตัวรถประหนึ่งการปูพรมต้อนรับ อีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษที่มาพร้อมกันคือ ไฟ Ambient Light ที่ช่วยสร้างบรรยากาศความหรูหราให้กับห้องโดยสาร
บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ยังมาพร้อมกับหลังคากระจกแบบ Sky Lounge Panorama ช่วยสร้างบรรยากาศเสมือนท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวหลากสี เป็นอีกหนึ่งความพิเศษเหนือระดับรถยนต์ซีดานหรูในเซ็กเมนต์เดียวกัน
บีเอ็มดับเบิลยู เลเซอร์ไลท์ เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น
อีกฟีเจอร์ใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู 740Li ที่แตกต่างจากรถยนต์ซีดานในเซ็กเมนต์เดียวกันคือ บีเอ็มดับเบิลยู เลเซอร์ไลท์ (BMW Laserlight) ซึ่งคล้ายกับที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 ด้วยเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู เซเลคทีฟ บีม (BMW Selective Beam) ช่วยลดความพร่ามัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเพิ่มเติมจากไฟแอลอีดีในรุ่นมาตรฐาน ไฟหน้าแบบเลเซอร์นี้มีแสงสีขาวและให้ความสว่างได้ในระยะ 600 เมตร สำหรับไฟสูง ซึ่งเป็นระยะที่ไกลกว่าความสว่างจากไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสองเท่า และให้ความเข้มของแสงมากกว่าไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสี่เท่า
เครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตรรุ่นใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่นี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นล่าสุดของบีเอ็มดับเบิลยู ด้วยปริมาตรกระบอกสูบขนาด 3.0 ลิตร ซึ่งใช้เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 240 กิโลวัตต์ / 326 แรงม้า ที่ 5,500 ถึง 6,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งความเร็วจากศูนย์ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.6 วินาที อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 14.3 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 166 กรัมต่อกิโลเมตร ตามการทดสอบของอียู
ช่วงล่างแบบถุงลมและระบบควบคุมความนุ่มของโช้กอัพ
ด้วยช่วงล่างระบบถุงลม สำหรับเพลาขับทั้งหน้าและหลัง และระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่มาพร้อมกับทุกองค์ประกอบเพื่อสร้างความแม่นยำ การเคลื่อนไหวในการขับขี่อย่างมั่นคงและ สอดประสานอย่างกลมกลืน ช่วงล่างแบบถุงลมซึ่งทำงานด้วยการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อัดลมเข้าไปเก็บในถังลม ทำให้สามารถรักษาระดับของรถไว้ได้ แม้ในเวลาที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน ระดับความสูงของรถจะถูกปรับให้คงที่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีน้ำหนักบรรทุกเท่าไหร่ก็ตาม และเนื่องจากในแต่ละล้อ มีตัวจ่ายลมที่ทำงานอย่างเป็นอิสระ จึงสามารถปรับระดับของรถให้เสถียรได้ แม้ว่าน้ำหนักในการบรรทุกของล้อแต่ละข้างจะไม่เท่ากันก็ตาม
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถปรับการควบคุมระดับนี้ได้ด้วยตนเอง ทั้งในระหว่างการขับขี่บนท้องถนน หรือแม้แต่การขับในพื้นที่ต่างระดับ เช่น ในอาคารจอดรถที่มีความลาดชัน การปรับระดับจะกลับสู่ค่ามาตรฐานโดยอัตโนมัติที่ความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่ออยู่ในโหมด SPORT และใช้ความเร็วสูงในการขับขี่ ระบบจะปรับระดับความสูงของตัวรถลงมา 10 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ
แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 ของตระกูลนี้ และถือเป็นที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เท่าที่เคยผลิตมา และเป็นมาตรฐานใหม่ของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในเซ็กเมนต์นี้ ที่มาพร้อมสมรรถนะและประสิทธิภาพใหม่แห่งการขับขี่ โดยที่นำเข้ามาทำตลาดในไทยเบื้องต้นเป็นรุ่น 740Li โฉมใหม่
“นับเป็นครั้งแรกที่คอนเซ็ปต์ Carbon Core นำมาใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ โดยเราได้นำหลักการของคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 มาใช้กับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ การผสมผสานที่ก้าวล้ำของการใช้วัสดุต่างๆ ทำให้ยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ทรงพลังสูงสุดและน้ำหนักเบาที่สุด แต่ยังคงความเป็นรถซีดานที่หรูหราและทรงประสิทธิภาพที่สุดด้วยเช่นกัน”
“แน่นอนว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่เท่านั้น เรายังได้สร้างสรรค์ความเป็นยานยนต์ระดับเฟิร์สคลาส สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วยเช่นกัน ลูกค้าของเราจะได้รับความรู้สึกพิเศษ จากการต้อนรับในแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย Light Carpet กับแนวไฟสามมิติที่ส่องทอดยาวจากแนวประตูด้านหน้าสู่พื้น Panorama Sky Lounge ที่ช่วยสร้างอารมณ์อันสมบูรณ์แบบด้วยแสงไฟจาก 15,000 ดวงภายใต้หลังคา เพื่อบรรยากาศในห้องโดยสารที่เหนือระดับยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกสีของไฟได้ตามใจชอบ และยังรวมถึง BMW Touch Command ด้วยจอแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วที่สามารถควบคุมความบันเทิงและความสะดวกสบายต่างๆ ได้อย่างเต็มที่”
“บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่ เป็นการสร้างความหรูหราแห่งอนาคต ที่เริ่มขึ้นในวันนี้ ถือเป็นรุ่นแฟลกชิปของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู และยังเป็นยานยนต์ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในระดับอีลิตที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีอันล้ำสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
เอเดรียน ฟาน ฮอยดองก์ รองประธานอาวุโส บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ดีไซน์ กล่าวว่า สำหรับบีเอ็มดับเบิลยูเชื่อว่าอนาคตสามารถออกแบบได้ จุดประสงค์หลักของการพัฒนารถรุ่นใหม่ๆ คือ การสร้างสรรค์ความหรูหรา ล้ำสมัย ที่เหนือความคาดหมายของลูกค้า ในวิสัยทัศน์ของบีเอ็มดับเบิลยู ความหรูหราทันสมัยมาจากเทคโนโลยีที่เหนือกว่า และความพิถีพิถันใส่ใจอย่างสูงสุดในทุกรายละเอียด บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 รุ่นใหม่นี้ คือ ที่สุดของความหรูหรา ที่สุดของความสะดวกสบาย และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือรถที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 ที่ดีที่สุดที่เราเคยสร้างขึ้นมา
รถยนต์รุ่นแฟลกชิปที่มาพร้อมสมรรถนะล้ำหน้าและรูปลักษณ์ดึงดูด
เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ เป็นรุ่นฐานล้อยาว มีขนาดความยาวของตัวรถ 5,238 มิลลิเมตร กว้าง 1,902 มิลลิเมตร สูง 1,485 มิลลิเมตร และเป็นรุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยูเท่าที่เคยผลิตมา และยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูที่ใช้ฟีเจอร์ Air Flap Control ซึ่งจะทำงานเมื่อระบบต้องการระบายความร้อน โดยนอกจากจะพัฒนาสมรรถนะด้านแอโรไดนามิกส์ให้กับรถแล้ว ยังเพิ่มความสะดุดตาให้กับส่วนหน้าของรถด้วยจำนวนซี่ของไตคู่บีเอ็มดับเบิลยูที่เพิ่มขึ้น ไฟหน้ายังได้รับการออกแบบขยายไปจนถึงขอบไต ในขณะที่ไฟทรงกลมคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลถูกจัดวางอย่างพอดี ช่วยทั้งการใช้งานและดึงดูดสายตา นอกจากนี้ ยังเป็นไฟแอลอีดี โดยมีให้เลือกแบบเลเซอร์ไลท์ด้วยเช่นกัน ซึ่งล้วนขับเน้นเทคโนโลยีอันละเอียดอ่อนที่เหนือชั้น ไฟหน้าแบบเลเซอร์ไลท์สามารถสังเกตได้จากแถบสีฟ้าตรงกลางของดวงไฟ
ครั้งแรกกับโครงสร้าง Carbon Core ช่วยน้ำหนักรวมของรถเบา
เทคโนโลยี BMW EfficientLightweight ช่วยลดน้ำหนักรวมของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ได้สูงสุดถึง 130 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ด้วยโครงสร้างตัวถังที่ผลิตด้วย Carbon Core ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 เป็นรถยนต์รุ่นแรกในเซ็กเมนต์นี้ที่ใช้โครงสร้างผลิตจากพลาสติกเสริมเส้นใยคาร์บอน (CFRP) ผสมผสานกับโครงสร้างเหล็กและอะลูมิเนียม ช่วยเสริมความแข็งแกร่งและความมั่นคงของห้องโดยสาร ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดน้ำหนักของตัวรถได้อย่างมาก
สมรรถนะและความสะดวกสบายของการขับขี่ที่ใช้งานในทุกสภาพ
เทคโนโลยีช่วงล่างในรุ่นมาตรฐาน ช่วยยกระดับสมรรถนะและคุณภาพในการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ในขณะเดียวกันความสมดุลย์ทั้งสองประการของสุนทรียภาพในการขับขี่ ได้ยกระดับให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 โฉมใหม่นี้ก้าวไปสู่จุดสูงสุดในเซ็กเมนต์รถยนต์หรู โดยในรุ่นมาตรฐานได้รวมช่วงล่างแบบถุงลม สำหรับเพลาขับทั้งหน้าและหลังและระบบควบคุมความนุ่มนวลของโช้กอัพเอาไว้ด้วย
นวัตกรรมใหม่ล่าสุดนี้มอบอิสระแห่งการขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกใช้งานโหมดที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานใน Sport Mode หรือ Eco Pro Mode เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ หรือเลือกใช้ ADAPTIVE mode ซึ่งสามารถเรียกใช้งานได้ผ่านสวิทซ์ควบคุมแบบใหม่ การตั้งค่าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบในการขับขี่และประเภทของเส้นทาง
การสั่งการด้วยระบบสัมผัสและการเคลื่อนไหวมือ
ในบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ใช้หน้าจอควบคุม iDrive ในระบบสัมผัสเป็นครั้งแรก ซึ่งนอกจากจะสามารถควบคุมระบบต่างๆ ในแบบเดิมแล้ว ระบบสัมผัสแบบใหม่นี้ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเลือกสั่งการและควบคุมจากการสัมผัสหน้าจอได้เช่นกัน
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นใหม่ของการใช้งานร่วมกับระบบ iDrive คือ การสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ หรือ BMW Gesture Control ซึ่งถูกนำมาใช้งานเป็นครั้งแรก เซ็นเซอร์ 3 มิติจะจับการเคลื่อนไหวของการสั่งงานระบบควบคุมความบันเทิงและการสื่อสาร ซึ่งใช้งานได้อย่างง่าย เช่น การปรับระดับเสียง การรับหรือปฏิเสธสายเรียกเข้าโทรศัพท์ เป็นต้น
เชื่อมต่อรถกับโลกภายนอกได้อย่างสมบูรณ์
นวัตกรรมของระบบควบคุมแบบมัลติฟังก์ชั่นซึ่งใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่นั้น มาในรูปแบบของบีเอ็มดับเบิลยู ทัช คอมมานด์ (BMW Touch Command) หรือควบคุมสั่งการด้วยระบบสัมผัสผ่านหน้าจอแท็บเล็ตพกพาขนาด 7 นิ้ว สามารถใช้งานได้จากทั้งภายในและนอกตัวรถ ซึ่งสามารถปรับและควบคุมระบบต่างๆ ของรถ ไม่ว่าจะเป็นการปรับที่นั่ง แสงไฟภายในตัวรถ การปรับอุณหภูมิ รวมถึงระบบความบันเทิงต่างๆ ระบบนำทาง และระบบการสื่อสาร และยังสามารถเล่นไฟล์เพลงและวิดีโอ รวมถึงใช้เป็นเกมส์คอนโซลได้อีกด้วย
สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับแห่งการโดยสาร
ด้วยบรรยากาศที่หรูหราภายในบีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ที่ได้รับการออกแบบแสงไฟอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะไฟ Welcome Light Carpet ที่ให้ความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟด้วยเส้นนำสายตารอบตัวรถประหนึ่งการปูพรมต้อนรับ อีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษที่มาพร้อมกันคือ ไฟ Ambient Light ที่ช่วยสร้างบรรยากาศความหรูหราให้กับห้องโดยสาร
บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่ ยังมาพร้อมกับหลังคากระจกแบบ Sky Lounge Panorama ช่วยสร้างบรรยากาศเสมือนท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดวงดาวหลากสี เป็นอีกหนึ่งความพิเศษเหนือระดับรถยนต์ซีดานหรูในเซ็กเมนต์เดียวกัน
บีเอ็มดับเบิลยู เลเซอร์ไลท์ เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น
อีกฟีเจอร์ใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู 740Li ที่แตกต่างจากรถยนต์ซีดานในเซ็กเมนต์เดียวกันคือ บีเอ็มดับเบิลยู เลเซอร์ไลท์ (BMW Laserlight) ซึ่งคล้ายกับที่ใช้ในบีเอ็มดับเบิลยู i8 ด้วยเทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู เซเลคทีฟ บีม (BMW Selective Beam) ช่วยลดความพร่ามัวและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเพิ่มเติมจากไฟแอลอีดีในรุ่นมาตรฐาน ไฟหน้าแบบเลเซอร์นี้มีแสงสีขาวและให้ความสว่างได้ในระยะ 600 เมตร สำหรับไฟสูง ซึ่งเป็นระยะที่ไกลกว่าความสว่างจากไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสองเท่า และให้ความเข้มของแสงมากกว่าไฟหน้าแบบแอลอีดีถึงสี่เท่า
เครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตรรุ่นใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่นี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นล่าสุดของบีเอ็มดับเบิลยู ด้วยปริมาตรกระบอกสูบขนาด 3.0 ลิตร ซึ่งใช้เทคโนโลยีบีเอ็มดับเบิลยู ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 240 กิโลวัตต์ / 326 แรงม้า ที่ 5,500 ถึง 6,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งความเร็วจากศูนย์ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.6 วินาที อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 14.3 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 166 กรัมต่อกิโลเมตร ตามการทดสอบของอียู
ช่วงล่างแบบถุงลมและระบบควบคุมความนุ่มของโช้กอัพ
ด้วยช่วงล่างระบบถุงลม สำหรับเพลาขับทั้งหน้าและหลัง และระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า บีเอ็มดับเบิลยู 740Li โฉมใหม่มาพร้อมกับทุกองค์ประกอบเพื่อสร้างความแม่นยำ การเคลื่อนไหวในการขับขี่อย่างมั่นคงและ สอดประสานอย่างกลมกลืน ช่วงล่างแบบถุงลมซึ่งทำงานด้วยการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อัดลมเข้าไปเก็บในถังลม ทำให้สามารถรักษาระดับของรถไว้ได้ แม้ในเวลาที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน ระดับความสูงของรถจะถูกปรับให้คงที่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะมีน้ำหนักบรรทุกเท่าไหร่ก็ตาม และเนื่องจากในแต่ละล้อ มีตัวจ่ายลมที่ทำงานอย่างเป็นอิสระ จึงสามารถปรับระดับของรถให้เสถียรได้ แม้ว่าน้ำหนักในการบรรทุกของล้อแต่ละข้างจะไม่เท่ากันก็ตาม
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังสามารถปรับการควบคุมระดับนี้ได้ด้วยตนเอง ทั้งในระหว่างการขับขี่บนท้องถนน หรือแม้แต่การขับในพื้นที่ต่างระดับ เช่น ในอาคารจอดรถที่มีความลาดชัน การปรับระดับจะกลับสู่ค่ามาตรฐานโดยอัตโนมัติที่ความเร็ว 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่ออยู่ในโหมด SPORT และใช้ความเร็วสูงในการขับขี่ ระบบจะปรับระดับความสูงของตัวรถลงมา 10 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ