หลังจาก มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีแผนเปิดตัว มาสด้า บีที-50 โปรใหม่ ...คำถามจึงเกิดขึ้นในใจของทีมผู้บริหารมาสด้าว่า “เราจะใช้เส้นทางใดทดสอบรถที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน” พร้อมตอบโจทย์นิยามใหม่ของรถรุ่นนี้ที่ว่า TOUGH AS LIFE “นิยามแกร่ง..คุณเท่านั้นที่กำหนด” และประเทศ “มองโกเลีย” คือคำตอบสุดท้าย
เพราะด้วยเส้นทางในประเทศ มองโกเลีย ที่จะต้องขับผ่าน ภูเขา ทุ่งหญ้า ทะเลทรายโกบี จึงมีถนนให้ทดสอบหลากหลายไม่ว่าจะเป็นทางเรียบ ทางทราย ทางฝุ่น ทางโคลน บวกกับความหนาวเหน็บเวลากลางคืน-อากาศร้อนในช่วงกลางวัน น่าจะเป็นบทพิสูจน์ความแกร่ง ความอึด ความทรหด ความสมบุกสมบันของช่วงล่าง ของเจ้ามาสด้า บที-50 โปร ได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญ มองโกเลีย เป็นดินแดนแห่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามดั่งสวรรค์บนดิน รวมถึงเสน่ห์ของมองโกเลียอีกอย่างคือ ศิลปวัฒนธรรมและ ผู้คนท้องถิ่นยังคงดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย จึงไม่แปลกใจที่ดินแดนแห่งนี้จะเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางจากทั่วโลก และน้อยคนหนักที่จะได้สัมผัส โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถยนต์
เมื่อทุกอย่างลงตัวแผนการเดินทางสู่ประเทศมองโกเลีย จึงเริ่มขึ้นโดยแบ่งนักข่าวไทยที่จะทดสอบรถออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เอและบี กลุ่มแรกบินจากไทยสู่เมืองปักกิ่ง และจะขับจากปักกิ่งไปยังเมืองอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย หลังจากนั้นนักข่าวไทยกลุ่มบีจะขับกลับไปยังชายแดนมองโกเลีย
สำหรับผู้เขียนอยู่ในกลุ่มเอ เป็นไม้แรก รวมระยะทางขับ 2,200 กิโลเมตร จากปักกิ่งสู่อูลานบาตอร์ การขับจะเป็นในรูปของคาราวาน มีรถบีที-50 โปร ตัวขับสองยกสูงอยู่ 8 คัน คละกันไประหว่าง 4 ประตู กับ 2 ประตู และมีทั้งเกียร์ออโตกับเกียร์ธรรมดาให้นักข่าวได้ลองขับ 2 แบบ โดยมีบริษัท ทรานส์เอเชีย รูท เป็นผู้รับจัดการเดินทางแบบคาราวานรถยนต์ พร้อมทีมงานมืออาชีพเป็นผู้วางเส้นทางและนำขบวนคาราวานในครั้งนี้ด้วยคอนเซ็ปต์ “ขอแค่มีทาง...ที่เหลือจัดให้”
หลังลงเครื่อง ณ กรุงปักกิ่ง การเดินทางเริ่มต้นทันที ด้วยระยะทาง 700 กม. โดยรถคันของผู้เขียนมีความแตกต่างจากคันอื่นตรงที่ว่าสมาชิกภายในรถเป็นผู้หญิงล้วน 3 คน ซึ่งเป็นนักข่าวสายรถยนต์จากไทยโพสต์และออโตวิชั่น และความเป็นหญิงไม่มีผลต่อการผจญภัยในครั้งนี้ พวกเราฝ่าฟันทุกอุปสรรคจนถึงปลายทางสุดท้ายได้อย่างสบาย ๆ พร้อมรถคู่ใจ มาสด้าบีที-50 โปร หมายเลข 08 เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร คอมมอนเรล ไดรเร็กอินเจกชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที เกียร์ออโต้
เส้นทางวันแรกเราสลับกันขับด้วยเส้นทางที่ไกลโขอยู่ แต่โชคดีถนนจากปักกิ่งสู่ชายแดนจีน-มองโกเลีย เป็นทางลาดยางอย่างดี พวกเราขับขี่ผ่านเมืองต่าง ๆรวมถึงกำแพงเมืองจีน และส่วนใหญ่เราวิ่งอยู่บนทางด่วนของจีน จึงเป็นช่วงที่ได้ทดสอบความเร็วอย่างเต็มที ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการขับขี่ด้วยความเร็วสูง รู้สึกว่าน้ำหนักพวงมาลัยยิ่งหน่วงทำให้ควบคุมรถได้มั่นคงและมั่นใจมากขึ้น อัตราเร่งแซงรวดเร็วทันใจ ช่วงความเร็วที่แตะอยู่ 150-160 ไม่มีเสียงลมมารบกวนให้รำคาญใจเลย ส่วนความเร็วสูงสุดที่ใช้ขับขี่ในทริปนี้ อยู่ที่ 180 กม./ชม.
ไฮไลน์วันนี้คือเมืองอีเรนฮอต ( Erenhot ) เมืองชายแดนจีน-มองโกเลีย เป็นเมืองที่มีการขุดค้นพบซากไดโนเสาร์มากที่สุด จึงมีสัญลักษณ์ไดโนเสาร์ตัวใหญ่เป็นซุ้มประตูทางเข้าเมือง และพักชายแดนจีนหนึ่งคืนก่อนจะเข้าไปสู่ดินแดนมองโกเลียอย่างเต็มตัวในวันพรุ่งนี้
วันที่สองของการเดินทาง เจ้าหน้าที่จาก ทรานส์เอเชีย รูท บอกเล่าว่าระยะทางวันนี้ประมาณ 250 กิโลเมตร แต่เราจะใช้เวลาครึ่งวันใน การทำเอกสารผ่านด่านจีนและด่านมองโกเลีย และทุกอย่างก็ราบรื่น ผ่านมาได้ทั้งคน ทั้งรถ
หลังจากขบวนคาราวานเข้าสู่เขตมองโกเลีย ถนนลาดยางที่ราบเรียบเริ่มหายไป มีแต่ในช่วงแรก ๆ พอขับมาได้สักพักก็จะเจอแต่ทางที่เป็นดินทราย ทางฝุ่น เช่นเดียวกับบ้านเรือนริมทางก็มีให้เห็นน้อยมาก แต่มาสด้าบีที-50 โปร ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ขับมาแบบสบาย สำหรับวันนี้เราได้แวะทักทายฝูงอูฐบนเส้นทางที่เราขับผ่าน จนมาถึงจุดไฮไลต์คือ Energy place เป็นจุดสำคัญของนักเดินทางท้องถิ่นที่ต้องแวะมาสักการะและรับพลังงานธรรมชาติ โดยนอนบนหินสีแดง 15 นาที เพื่อเติมพลังก่อนเดินทางต่อจนถึง Gobi Sunrise Camp และคืนนี้จะเป็นการนอนกระโจม หรือ เกอร์ ครั้งแรกในชีวิต ในกระโจมมีเตียงนอน หมอน ผ้าห่ม ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นไม่ต้องพูดถึงไม่มี ขณะที่ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม ซึ่งก็สะอาด ใช้ได้
เกอร์ เป็นเต็นท์ของชาวมองโกลมาตั้งแต่ยุคเจงกิสข่าน มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบสามฟุตขึ้นไปจนถึงสิบห้าฟุต บุข้างในด้วยหนังสัตว์ ข้างนอกหุ้มด้วยผ้าหนา ๆ ถ้ายิ่งหนาวก็เพิ่มหนังสัตว์เข้าไปข้างใน...ว่ากันว่าคนมองโกลใช้เวลาในการประกอบหรือเก็บเกอร์เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
วันที่สามเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อมาเก็บบรรยายกาศรอบ ๆ ตัว พระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามเช้าช่างสวยสดงดงามจริง ๆ เราออกเดินเกือบ 9 โมง มุ่งหน้าสู่ Baga gazriin chuluu รวมระยะทางประมาณ 400 กม. วันนี้ขับผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย เส้นทางบางช่วงก็เป็นทางฝุ่น บางช่วงเป็นดินทราย มีหินค่อนข้างแหลมคมอยู่เพียบ หลักกิโลเมตร หรือป้ายบอกทางไม่มีให้เห็นมีแต่ทุ่งหญ้าสเตปป์ที่สามารถมองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา เนินเขาหลายสิบลูกที่ขับผ่านมา ฝูงแพะ แกะ วัว กินหญ้าอยู่ตามท้องทุ่งหญ้า ชื่นชมกันอย่างใกล้ชิดเลย จนมาถึงที่พักตอนค่ำ และเป็นอีกคืนที่นอนในกระโจม
และคืนนี้เป็นคืนพิเศษ เพราะมี ลุงชาวมองโกเดินทางจากบ้านที่โกบีกลาง มาพักร้อนที่รีสอร์ทที่ไปพักพอดี แกเลยมาเล่นให้พวกเราฟัง ซึ่งเครื่องดนตรีที่แก่ใช้มีชื่อว่า "morin khuur" หรือซอสองสาย นับเครื่องดนตรีประจำชาติของชาวมองโกล ความพิเศษของมันอยู่ที่ใช้ขนหางม้ามาทำเป็นสายและที่สี พวกเราเลยโชคดีได้ฟังเพลงมองโกแบบต้นฉบับกันเลยทีเดียว
..........โปรดติดตามตอนต่อ 2