สองค่ายใหญ่ในวงการรถจักรยานยนต์เมืองไทย “ฮอนด้า” และ “ยามาฮ่า” พร้อมใจกันเสริมความปลอดภัยให้นักบิด ด้วยการจัดคอร์สพิเศษสำหรับหลักสูตรการขับขี่สองล้อสไตล์สปอร์ตทั้งบนท้องถนนและในสนามแข่งขัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานรถสปอร์ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด
หลังจากกระแสความนิยมรถสปอร์ตกำลังมาแรงในปีนี้ จึงเป็นที่มาของการรุกทำตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของค่ายรถจักรยานยนต์ในบ้านเรา ซึ่งนอกจากจะส่งโมเดลใหม่ให้นักบิดเลือกใช้กันได้ตรงตามความต้องการแล้ว ยังตามด้วยการสนับสนุนกิจกรรมกีฬามอเตอร์สปอร์ตให้เป็นที่ยอมรับ และเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด ดังจะเห็นได้จากที่บอสใหญ่ค่ายปีกนก อารักษ์ พรประภา กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้ดูแลกิจกรรมด้านมอเตอร์สปอร์ตเคยแถลงตั้งแต่ต้นปีไว้ว่า
“ในปี 2015 เราพร้อมสนับสนุนและผลักดันนักแข่งรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องไปถึงการผลักดันให้นักแข่งไทยได้ไปแข่งขันในรายการระดับโลก โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ระดับ World GP พร้อมกันนี้ เรายังมีแผนงานในการทำโครงการ Honda CBR300R Thailand Dream Cup (ฮอนด้า ซีบีอาร์300อาร์ ไทยแลนด์ ดรีมคัพ) โดยความร่วมมือของเครือข่ายร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถแนวสปอร์ตได้สนุกกับการขับขี่ในแนวรถแข่งได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย”
เกี่ยวกับโปรเจกต์ดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไปที่มีความฝันอยากประลองความเร็วได้บนแทร็กอย่างมืออาชีพ แต่ไม่มีเวทีให้ลงแข่งขันได้วัดความเร็วกัน โดยจะทำการแข่งขันทั้งสิ้น 7 สนาม สลับสับเปลี่ยนบนสังเวียนชื่อดัง ได้แก่ ไทยแลนด์เซอร์กิต, พีระเซอร์กิต และช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งก่อนทำการแข่งขันในแต่ละสนาม ทางผู้จัดจะเชิญชวนนักแข่งเข้ามาติวเข้มทักษะการขับขี่กันแบบถึงลูกถึงคน ผ่านการสอนโดยทีมงานครูฝึกผู้มีความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพหรือก็คือนักแข่งในสังกัดของ เอ.พี.ฮอนด้า นั่นเอง
สำหรับหลักสูตรการสอนแบ่งเป็นภาคทฤษฏีและปฏิบัติ รวมระยะเวลาการเรียนแบบเต็มคอร์ส 2 วัน โดยสิ่งที่นักแข่งจะได้จากการติวเข้มครั้งนี้นอกจากจะเน้นไปที่การทำความเร็วให้ได้สูงสุด ด้วยการเข้าไลน์อย่างถูกต้องในแต่ละโค้งแล้ว ยังรวมถึงการเรียนรู้และทำความเข้าใจกับรายละเอียดอื่นๆ อย่างกฏ กติกา มารยาท และสัญญาณธงต่างๆ ที่ใช้ในสนามแข่งขันอีกด้วย
ด้านค่าใช้จ่ายแสนถูกเหมือนเรียนฟรี เพราะเก็บเพียง 500 บาท มีอาหารให้ครบ 3 มื้อต่อวัน หากสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aphonda.co.th/aphondaracingthailand
ขณะที่ฝั่งค่ายส้อมเสียงก็เดินหน้ารุกวงการมอเตอร์สปอร์ตด้วยเช่นกัน สำหรับกิจกรรม Yamaha Moto Challenge 2015 (ยามาฮ่า โมโต ชาเล้นจ์ 2015) ที่เป็นการผนึกกำลังกับสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย จัดการแข่งขันเกมมอเตอร์สปอร์ตให้กับเยาวชน เพื่อเสริมสร้างพื้นฐานความรู้เชิงช่างให้นักศึกษาระดับอาชีวศึกษา และพัฒนาบุคลากรต่อยอดองค์ความรู้ทั้งในเชิงเทคโนโลยีวิศวกรรม การบริหารจัดการทีม เตรียมความพร้อมบุคลากรสู่การประกอบอาชีพทางด้านมอเตอร์สปอร์ตในอนาคต
โดยในปีนี้นำร่องไปแล้วกับทีมแข่งจาก 20 สถาบันที่ได้เดินหน้าปฎิบัติภารกิจแห่งความท้าทาย และเร้าใจกับการสัมผัสประสบการณ์จริงในสนามแข่งขัน ซึ่งสถาบันที่ชนะเลิศจะได้รับสิทธิพิเศษเดินทางเข้าร่วมชมกิจกรรมการแข่งขันจักรยานยนต์ในระดับนานาชาติ รายการ “เอ็มเอฟเจ ซูเปอร์ไบค์ ออล เจแปน โรด เรส แชมเปี้ยนชิฟ 2015” ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย
อย่างไรก็ตามนอกจากจัดแข่งประลองความเร็วในสนามแล้ว ค่ายส้อมเสียงยังมีความห่วงใยลูกค้าที่ใช้รถสปอร์ตบนท้องถนนกับการเพิ่มคอร์สเสริมทักษะขับขี่รูปแบบใหม่ ภายใต้ชื่อ Sport Riding Skill (สปอร์ต ไรด์ดิ้ง สกิล) ที่เพิ่งเริ่มการเรียนการสอนไปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานี้เอง
ปุ้ย-ธิดารัตน์ แย้มรักษา ครูฝึกประจำสนามฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าหรือศูนย์ฝึกขับขี่ YRA กล่าวว่า ปกติหลักสูตรการสอนมีแค่ขับขี่ปลอดภัยและขยับขึ้นไปสู่บิ๊กไบค์เท่านั้น ส่วนคอร์สใหม่มีขึ้นพร้อมกับรถสปอร์ตที่ยามาฮ่าส่งทำตลาดและวางจำหน่ายครบทุกเซกเม้นท์ตั้งแต่เอ็กซ์ไซเตอร์ 150, อาร์15 และอาร์3
“ทำไมต้องมีหลักสูตรนี้ เพื่อรองรับลูกค้าที่ใช้รถสปอร์ตที่เราขาย เพราะท่าทางการขับขี่รถครอบครัวกับรถสปอร์ต มีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างการใช้แฮนด์คลัทช์ การออกตัว การเข้าโค้ง ลูกค้าต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง” อดีตนักแข่งสองล้ออธิบายและกล่าวต่อว่า
“ในแง่ของเทคนิค จุดไหนที่ยามาฮ่าให้ความสำคัญที่สุด แน่นอนท่าทางในการเข้าโค้ง อย่างรถสปอร์ตเวลาเข้าโค้งก็อีกแบบหนึ่ง รถครอบครัวก็อีกแบบหนึ่ง ซึ่งจริงๆ มันก็เลี้ยวได้เหมือนกัน แต่รถสปอร์ตจะทำยังไงให้เลี้ยวเร็วและมีความปลอดภัย เหตุนี้จึงต้องมีการสอนท่าทางการควบคุม การใช้สายตา หัวไหล่ เข่า ปลายเท้า หรือเรียกว่าแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ทีนี้พอขี่ได้คล่องแล้ว คนที่เรียนจะรู้ว่ารถสปอร์ตขี่สนุกกว่ารถครอบครัวที่เน้นแต่การใช้งานทั่วไปอย่างไร”
สำหรับหลักสูตรสปอร์ต ไรด์ดิ้ง สกิล ใช้เวลาเรียนหนึ่งวัน หากนำรถยามาฮ่าของตัวเองมาเรียน จ่ายเพียง 300 บาท มีอาหารว่างพร้อมมื้อเที่ยงให้ด้วย ส่วนถ้ามาเช่ารถที่ศูนย์ฝึกขับขี่ YRA คิดค่าใช้จ่ายรวมค่าเรียนและเช่ารถ 1,000 บาท เมื่อเลือกยืมอาร์15 และ 1,300 บาท สำหรับการใช้อาร์3 ฝึกทักษะขับขี่ โดยนักบิดที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.yra-thailand.com
คอร์สเสริมทักษะขับขี่ดีๆ แถมราคาไม่แพงแบบนี้ สาวกสองล้อสไตล์สปอร์ตไม่ควรพลาด รักค่ายไหนเลือกได้ตามสะดวก
***ขอขอบคุณ Alpinestars Thailand สำหรับอุปกรณ์ Riding Gear (www.1goal1visionth.com โทร. 02-000-7885-6)
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
หลังจากกระแสความนิยมรถสปอร์ตกำลังมาแรงในปีนี้ จึงเป็นที่มาของการรุกทำตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของค่ายรถจักรยานยนต์ในบ้านเรา ซึ่งนอกจากจะส่งโมเดลใหม่ให้นักบิดเลือกใช้กันได้ตรงตามความต้องการแล้ว ยังตามด้วยการสนับสนุนกิจกรรมกีฬามอเตอร์สปอร์ตให้เป็นที่ยอมรับ และเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด ดังจะเห็นได้จากที่บอสใหญ่ค่ายปีกนก อารักษ์ พรประภา กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้ดูแลกิจกรรมด้านมอเตอร์สปอร์ตเคยแถลงตั้งแต่ต้นปีไว้ว่า
“ในปี 2015 เราพร้อมสนับสนุนและผลักดันนักแข่งรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องไปถึงการผลักดันให้นักแข่งไทยได้ไปแข่งขันในรายการระดับโลก โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ระดับ World GP พร้อมกันนี้ เรายังมีแผนงานในการทำโครงการ Honda CBR300R Thailand Dream Cup (ฮอนด้า ซีบีอาร์300อาร์ ไทยแลนด์ ดรีมคัพ) โดยความร่วมมือของเครือข่ายร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถแนวสปอร์ตได้สนุกกับการขับขี่ในแนวรถแข่งได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย”
เกี่ยวกับโปรเจกต์ดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไปที่มีความฝันอยากประลองความเร็วได้บนแทร็กอย่างมืออาชีพ แต่ไม่มีเวทีให้ลงแข่งขันได้วัดความเร็วกัน โดยจะทำการแข่งขันทั้งสิ้น 7 สนาม สลับสับเปลี่ยนบนสังเวียนชื่อดัง ได้แก่ ไทยแลนด์เซอร์กิต, พีระเซอร์กิต และช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งก่อนทำการแข่งขันในแต่ละสนาม ทางผู้จัดจะเชิญชวนนักแข่งเข้ามาติวเข้มทักษะการขับขี่กันแบบถึงลูกถึงคน ผ่านการสอนโดยทีมงานครูฝึกผู้มีความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพหรือก็คือนักแข่งในสังกัดของ เอ.พี.ฮอนด้า นั่นเอง
สำหรับหลักสูตรการสอนแบ่งเป็นภาคทฤษฏีและปฏิบัติ รวมระยะเวลาการเรียนแบบเต็มคอร์ส 2 วัน โดยสิ่งที่นักแข่งจะได้จากการติวเข้มครั้งนี้นอกจากจะเน้นไปที่การทำความเร็วให้ได้สูงสุด ด้วยการเข้าไลน์อย่างถูกต้องในแต่ละโค้งแล้ว ยังรวมถึงการเรียนรู้และทำความเข้าใจกับรายละเอียดอื่นๆ อย่างกฏ กติกา มารยาท และสัญญาณธงต่างๆ ที่ใช้ในสนามแข่งขันอีกด้วย
ด้านค่าใช้จ่ายแสนถูกเหมือนเรียนฟรี เพราะเก็บเพียง 500 บาท มีอาหารให้ครบ 3 มื้อต่อวัน หากสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aphonda.co.th/aphondaracingthailand
ขณะที่ฝั่งค่ายส้อมเสียงก็เดินหน้ารุกวงการมอเตอร์สปอร์ตด้วยเช่นกัน สำหรับกิจกรรม Yamaha Moto Challenge 2015 (ยามาฮ่า โมโต ชาเล้นจ์ 2015) ที่เป็นการผนึกกำลังกับสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย จัดการแข่งขันเกมมอเตอร์สปอร์ตให้กับเยาวชน เพื่อเสริมสร้างพื้นฐานความรู้เชิงช่างให้นักศึกษาระดับอาชีวศึกษา และพัฒนาบุคลากรต่อยอดองค์ความรู้ทั้งในเชิงเทคโนโลยีวิศวกรรม การบริหารจัดการทีม เตรียมความพร้อมบุคลากรสู่การประกอบอาชีพทางด้านมอเตอร์สปอร์ตในอนาคต
โดยในปีนี้นำร่องไปแล้วกับทีมแข่งจาก 20 สถาบันที่ได้เดินหน้าปฎิบัติภารกิจแห่งความท้าทาย และเร้าใจกับการสัมผัสประสบการณ์จริงในสนามแข่งขัน ซึ่งสถาบันที่ชนะเลิศจะได้รับสิทธิพิเศษเดินทางเข้าร่วมชมกิจกรรมการแข่งขันจักรยานยนต์ในระดับนานาชาติ รายการ “เอ็มเอฟเจ ซูเปอร์ไบค์ ออล เจแปน โรด เรส แชมเปี้ยนชิฟ 2015” ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย
อย่างไรก็ตามนอกจากจัดแข่งประลองความเร็วในสนามแล้ว ค่ายส้อมเสียงยังมีความห่วงใยลูกค้าที่ใช้รถสปอร์ตบนท้องถนนกับการเพิ่มคอร์สเสริมทักษะขับขี่รูปแบบใหม่ ภายใต้ชื่อ Sport Riding Skill (สปอร์ต ไรด์ดิ้ง สกิล) ที่เพิ่งเริ่มการเรียนการสอนไปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานี้เอง
ปุ้ย-ธิดารัตน์ แย้มรักษา ครูฝึกประจำสนามฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าหรือศูนย์ฝึกขับขี่ YRA กล่าวว่า ปกติหลักสูตรการสอนมีแค่ขับขี่ปลอดภัยและขยับขึ้นไปสู่บิ๊กไบค์เท่านั้น ส่วนคอร์สใหม่มีขึ้นพร้อมกับรถสปอร์ตที่ยามาฮ่าส่งทำตลาดและวางจำหน่ายครบทุกเซกเม้นท์ตั้งแต่เอ็กซ์ไซเตอร์ 150, อาร์15 และอาร์3
“ทำไมต้องมีหลักสูตรนี้ เพื่อรองรับลูกค้าที่ใช้รถสปอร์ตที่เราขาย เพราะท่าทางการขับขี่รถครอบครัวกับรถสปอร์ต มีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างการใช้แฮนด์คลัทช์ การออกตัว การเข้าโค้ง ลูกค้าต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง” อดีตนักแข่งสองล้ออธิบายและกล่าวต่อว่า
“ในแง่ของเทคนิค จุดไหนที่ยามาฮ่าให้ความสำคัญที่สุด แน่นอนท่าทางในการเข้าโค้ง อย่างรถสปอร์ตเวลาเข้าโค้งก็อีกแบบหนึ่ง รถครอบครัวก็อีกแบบหนึ่ง ซึ่งจริงๆ มันก็เลี้ยวได้เหมือนกัน แต่รถสปอร์ตจะทำยังไงให้เลี้ยวเร็วและมีความปลอดภัย เหตุนี้จึงต้องมีการสอนท่าทางการควบคุม การใช้สายตา หัวไหล่ เข่า ปลายเท้า หรือเรียกว่าแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ทีนี้พอขี่ได้คล่องแล้ว คนที่เรียนจะรู้ว่ารถสปอร์ตขี่สนุกกว่ารถครอบครัวที่เน้นแต่การใช้งานทั่วไปอย่างไร”
สำหรับหลักสูตรสปอร์ต ไรด์ดิ้ง สกิล ใช้เวลาเรียนหนึ่งวัน หากนำรถยามาฮ่าของตัวเองมาเรียน จ่ายเพียง 300 บาท มีอาหารว่างพร้อมมื้อเที่ยงให้ด้วย ส่วนถ้ามาเช่ารถที่ศูนย์ฝึกขับขี่ YRA คิดค่าใช้จ่ายรวมค่าเรียนและเช่ารถ 1,000 บาท เมื่อเลือกยืมอาร์15 และ 1,300 บาท สำหรับการใช้อาร์3 ฝึกทักษะขับขี่ โดยนักบิดที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.yra-thailand.com
คอร์สเสริมทักษะขับขี่ดีๆ แถมราคาไม่แพงแบบนี้ สาวกสองล้อสไตล์สปอร์ตไม่ควรพลาด รักค่ายไหนเลือกได้ตามสะดวก
***ขอขอบคุณ Alpinestars Thailand สำหรับอุปกรณ์ Riding Gear (www.1goal1visionth.com โทร. 02-000-7885-6)
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring