ยอดจองงานมอเตอร์โชว์แรงช่วงท้าย โดยเฉพาะรถราคาเกินล้านบาทวิ่งฉิว จบงานดันทะลุ 3.7 หมื่นคันสบายๆ หลังจากช่วงครึ่งทางแรกยอดวิ่งอืด แต่ยังน้อยกว่าปีที่แล้วที่ปิดเกือบ 4 หมื่นคัน ผู้จัดงานพอใจกับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ขณะที่ค่ายรถลุ้นระทึกต่อหวั่นผลกระทบซ้ำจากร่างพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ที่มีแนวคิดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม
นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2015 หรือครั้งที่ 36 เปิดเผยว่า ตลอดการจัดงานทั้งหมด 11 วัน และอีก 2 วัน ในรอบวีไอพีและสื่อมวลชน มียอดจองอย่างเป็นทางการทั้งหมด 37,027 คัน ยัง และได้รับความสนใจมีผู้เข้าชมงาน 1.7 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนคนที่มาใกล้เคียงกับครั้งที่แล้ว
“ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ถือว่าน่าพอใจ กับปริมาณคนที่มาและยอดจองรถใหม่มากกว่า 3.7 หมื่นคัน ถือว่าใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมาที่มียอดจองกว่า 3.9 หมื่นคัน โดยเฉพาะรถระดับหรูหรือที่มีราคามากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงมีอัตราการขยายตัวในทิศทางที่ดี แม้กลุ่มรถขนาดเล็กจะลดลงตามสภาวะตลาด ทำให้เมื่อรวมมูลค่าเงินสะพัดภายในในงาน รวมทั้งในส่วนอุปกรณ์ประดับยนต์แล้ว น่าจะอยู่ในระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งถือประสบความเป็นที่พอสำเร็จพอใจ”
สำหรับตัวเลขยอดขายอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันสุดท้าย 5 เม.ย.2558 มียอดจองรถใหม่รวมทั้งสิ้น 37,027 คัน โดยอันดับ 1 ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่โตโยต้าทำได้ทั้งหมด 6,144 คัน ส่วนอันดับสองตกเป็นของฮอนด้าที่มาแรงในช่วงท้ายๆ มียอดจองทั้งหมด 5,069 คัน ทำให้ทะยานขึ้นมาจากอันดับสามแทนค่ายมาสด้า ที่ช่วงออกสตาร์ทครึ่งทาแรกนำเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมีรถรุ่นใหม่ “มาสด้า2 สกายแอคทีฟ จี 1.3” หรือรุ่นเครื่องยนต์เบนซินเป็นพระเอกช่วยสร้างยอดยองพุ่งสวนกระแส ก่อนจะถูกเบียดหล่นลงมาเรื่อยๆ และมียอดจองรวมรถทุกรุ่นอยู่ที่ 4,584 คัน ส่วนอันดับสี่เป็นของอีซูซุ 4,485 คัน และอันดับห้าค่ายนิสสันทำได้ 4,042 คัน ขณะที่ค่ายรถหรูอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถทำยอดจองได้สูงถึง 1,518 คัน และมีบีเอ็มดับเบิลยูตามมาที่ตัวเลขยอดจอง 1,065 คัน
ขณะเดียวกันในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2015 มีการจัดเสวนาเรื่อง ““ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามค่าคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างไร” และภายในงานนายอานุภาพ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจ บริษัท ฟอร์ด โอเปอเรชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมที่สนช.กำลังพิจารณาอยู่ มีแนวคิดที่จะเก็บเงินส่งเข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม จากสินค้าเข้าพิกัดสรรพสามิตต้องเก็บเงินน้ำมัน รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ แบตเตอร์รี่ และสารทำลายชิ้นบรรยากาศ
“ปัจจุบันและโดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ภาคอุตสาหกรรมมีภาระอยู่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่ใช้การปล่อยมลพิษจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 มากำหนดอัตราโครงสร้างภาษี สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกเป็นภาษีซ้ำซ้อน และภาครัฐมักจะอ้างเรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่อยๆ เห็นว่าสังคมน่าจะมีส่วนร่วมมากกว่าไปเพ่งเล็งอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง”
นายธนวัตน์ คุ้มสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กล่าวว่า มีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากในสนช. ซึ่งบางฝ่ายมีการเสนอให้นำเงินส่วนหนึ่งจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตไปเข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม ในส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ทางภาครัฐบอกว่าไม่สามารถทำได้ เพราะผิดระเบียบเรื่องงบประมาณ ซึ่งคงต้องมาดูจะมีวิธีดำเนินอย่างไร
“ถ้าหากต้องแยกและเก็บเพิ่มจากภาษีสรรพสามิต แน่นอนย่อมต้องเป็นภาระกับอุตสาหกรรมรถยนต์ และสุดท้ายก็ตกกับผู้บริโภค ขีดความสามารถการแข่งขันก็จะลดลง ดังนั้นหากมีผลกระทบรุนแรงคงจะมีการยื่นหนังสือชี้แจงให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทราบ” นายธนวัตน์กล่าว
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เกี่ยวกับการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม หากทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมดีขึ้น น่าจะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย แต่หากเก็บเข้ามาแล้วไม่ได้เอาไปแก้ปัญหาตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เหมือนกับหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นมาแล้ว ตรงนี้จะเป็นปัญหาทำให้เกิดการไม่ยอมรับ เรื่องนี้กำลังอยู่ในการพิจารณา ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำเสนอความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนได้
นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2015 หรือครั้งที่ 36 เปิดเผยว่า ตลอดการจัดงานทั้งหมด 11 วัน และอีก 2 วัน ในรอบวีไอพีและสื่อมวลชน มียอดจองอย่างเป็นทางการทั้งหมด 37,027 คัน ยัง และได้รับความสนใจมีผู้เข้าชมงาน 1.7 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนคนที่มาใกล้เคียงกับครั้งที่แล้ว
“ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ถือว่าน่าพอใจ กับปริมาณคนที่มาและยอดจองรถใหม่มากกว่า 3.7 หมื่นคัน ถือว่าใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมาที่มียอดจองกว่า 3.9 หมื่นคัน โดยเฉพาะรถระดับหรูหรือที่มีราคามากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงมีอัตราการขยายตัวในทิศทางที่ดี แม้กลุ่มรถขนาดเล็กจะลดลงตามสภาวะตลาด ทำให้เมื่อรวมมูลค่าเงินสะพัดภายในในงาน รวมทั้งในส่วนอุปกรณ์ประดับยนต์แล้ว น่าจะอยู่ในระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งถือประสบความเป็นที่พอสำเร็จพอใจ”
สำหรับตัวเลขยอดขายอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันสุดท้าย 5 เม.ย.2558 มียอดจองรถใหม่รวมทั้งสิ้น 37,027 คัน โดยอันดับ 1 ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่โตโยต้าทำได้ทั้งหมด 6,144 คัน ส่วนอันดับสองตกเป็นของฮอนด้าที่มาแรงในช่วงท้ายๆ มียอดจองทั้งหมด 5,069 คัน ทำให้ทะยานขึ้นมาจากอันดับสามแทนค่ายมาสด้า ที่ช่วงออกสตาร์ทครึ่งทาแรกนำเป็นอันดับหนึ่ง เพราะมีรถรุ่นใหม่ “มาสด้า2 สกายแอคทีฟ จี 1.3” หรือรุ่นเครื่องยนต์เบนซินเป็นพระเอกช่วยสร้างยอดยองพุ่งสวนกระแส ก่อนจะถูกเบียดหล่นลงมาเรื่อยๆ และมียอดจองรวมรถทุกรุ่นอยู่ที่ 4,584 คัน ส่วนอันดับสี่เป็นของอีซูซุ 4,485 คัน และอันดับห้าค่ายนิสสันทำได้ 4,042 คัน ขณะที่ค่ายรถหรูอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถทำยอดจองได้สูงถึง 1,518 คัน และมีบีเอ็มดับเบิลยูตามมาที่ตัวเลขยอดจอง 1,065 คัน
ขณะเดียวกันในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2015 มีการจัดเสวนาเรื่อง ““ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามค่าคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างไร” และภายในงานนายอานุภาพ ทัดพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจ บริษัท ฟอร์ด โอเปอเรชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมที่สนช.กำลังพิจารณาอยู่ มีแนวคิดที่จะเก็บเงินส่งเข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม จากสินค้าเข้าพิกัดสรรพสามิตต้องเก็บเงินน้ำมัน รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ แบตเตอร์รี่ และสารทำลายชิ้นบรรยากาศ
“ปัจจุบันและโดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ภาคอุตสาหกรรมมีภาระอยู่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่ใช้การปล่อยมลพิษจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 มากำหนดอัตราโครงสร้างภาษี สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกเป็นภาษีซ้ำซ้อน และภาครัฐมักจะอ้างเรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่อยๆ เห็นว่าสังคมน่าจะมีส่วนร่วมมากกว่าไปเพ่งเล็งอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง”
นายธนวัตน์ คุ้มสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กล่าวว่า มีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากในสนช. ซึ่งบางฝ่ายมีการเสนอให้นำเงินส่วนหนึ่งจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตไปเข้ากองทุนสิ่งแวดล้อม ในส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ทางภาครัฐบอกว่าไม่สามารถทำได้ เพราะผิดระเบียบเรื่องงบประมาณ ซึ่งคงต้องมาดูจะมีวิธีดำเนินอย่างไร
“ถ้าหากต้องแยกและเก็บเพิ่มจากภาษีสรรพสามิต แน่นอนย่อมต้องเป็นภาระกับอุตสาหกรรมรถยนต์ และสุดท้ายก็ตกกับผู้บริโภค ขีดความสามารถการแข่งขันก็จะลดลง ดังนั้นหากมีผลกระทบรุนแรงคงจะมีการยื่นหนังสือชี้แจงให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทราบ” นายธนวัตน์กล่าว
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เกี่ยวกับการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม หากทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมดีขึ้น น่าจะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย แต่หากเก็บเข้ามาแล้วไม่ได้เอาไปแก้ปัญหาตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เหมือนกับหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นมาแล้ว ตรงนี้จะเป็นปัญหาทำให้เกิดการไม่ยอมรับ เรื่องนี้กำลังอยู่ในการพิจารณา ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำเสนอความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนได้