ข่าวในประเทศ - จีเอ็ม ประเทศไทย เดินหน้าตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ ประกาศรับสมัครพนักงานลาออกโดยสมัครใจ ตั้งแต่วันที่ 2-12 มี.ค.นี้ วางเป้าหมายประมาณ 30% ของจำนวนพนักงานในไทยทั้งหมด โดยจ่ายเงินช่วยเหลือสูงสุด 10 เดือน พร้อมโบนัสพิเศษ ขณะที่ในส่วนสินค้าเลิกผลิตและขายรถเชฟโรเลต โซนิค รวมถึงรุ่นสปิน และแจ้งบีโอไอถอนโครงการอีโคคาร์ 2
หลังจากเมื่อศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจนเนอรัล มอเตอร์ส เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศแผนปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยที่มีการยุติการผลิตรถยนต์นั่ง เชฟโรเลต สปิน พร้อมกับหยุดการจำหน่ายรถดังกล่าว และรุ่นเชฟโรเลต สปิน รวมถึงปรับโครงสร้างองค์กรในประเทศไทย โดยอ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทุกฝ่าย และเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้แก่พนักงาน ด้วยการเปิดโครงการพนักงานลาออกโดยสมัครใจ (Voluntary Separation Program) โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่พึงพอใจสำหรับพนักงานในปัจจุบันที่ต้องการจะเข้าร่วมโครงการ ทั้งพนักงานในส่วนสำนักงานและระดับปฏิบัติการ (salaried and hourly)
ทั้งนี้จีเอ็ม ประเทศไทย ได้มีหนังสือแจ้งโครงการสมัครใจลาออก เพื่อปรับ ลด จำนวนพนักงานในส่วนต่างๆ ในองค์ของแต่ละบริษัทในทุกฝ่าย ทั้งระดับ Salaried และระดับ Hourly ประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยกำหนดรับสมัครพนักงานลาออกโดยสมัครใจ เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.เป็นวันแรก และจะมีไปจนถึงวันที่ 12 มี.ค.2558 นี้
ในส่วนของพนักงานที่สมัครใจลาออก และได้รับอนุมัติจากบริษัทต้นสังกัด จะได้รับเงินช่วยเหลือตามโครงการดังนี้ 1.เงินช่วยเหลือสามัญ จำนวนเดือนตามระยะเวลาอายุงาน(นับถึงวันสุดท้ายที่บริษัทฯ กำหนด) ไม่ครบ 1 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 1 เดือน, ครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 3 เดือน, ครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 6 เดือน, ครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 8 เดือน, ครบ 10 ปีขึ้นไป เงินช่วยเหลือสามัญ 10 เดือน ทั้งนี้พนักงานที่ทำงานโรงงาน จ.ระยอง จะคำนวณจากฐานเงินเดือน + ค่าทำงานต่างจังหวัด
2. เงินช่วยเหลือพิเศษ ประกอบด้วย 2.1 มีเงินเดือนจำนวน 1 เดือน คำนวณจากฐานเงินเดือน (ทั้งนี้พนักงานที่ทำงานโรงงาน จ.ระยอง จะคำนวณจากฐานเงินเดือน + ค่าทำงานต่างจังหวัด) และ2.2 เงินโบนัสแบบไม่คงที่ประจำไตรมาสที่ 1 รวมจำนวน 1.125 เดือน บวก 11,250 บาท
“การพลิกโฉมธุรกิจไม่สามารถทำได้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง” มาร์คอส เพอร์ตี กรรมการผู้จัดการ จีเอ็ม ประเทศไทย และเชฟโรเลต เซลส์ประเทศไทย กล่าวถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจของจีเอ็ม ประเทศไทยในครั้งนี้ และว่า “เราจะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างองค์กรในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสที่ดียิ่งขึ้นสำหรับธุรกิจ และในขณะเดียวกันเราก็มุ่งให้การช่วยเหลือพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบ”
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจีเอ็ม ประเทศไทย อ้างว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความแข็งแกร่งของแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีเอ็มจะปรับเปลี่ยนกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของตลาดและความต้องการของลูกค้า โดยยังคงทำการผลิตและจำหน่ายรถกระบะ เชฟโรเลต โคโลราโด, เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ และรถเอสยูวี เชฟโรเลต แคปติวา รวมถึงรถยนต์นั่ง เชฟโรเลต ครูซ ในประเทศไทยต่อไป ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 75% ของเชฟโรเลตในประเทศไทย และคิดเป็นสัดส่วนราว 95% ที่จีเอ็ม ประเทศไทยส่งออกสู่ต่างประเทศ ในส่วนของรถยนต์นั่งเชฟโรเลต โซนิค และรถอเนกประสงค์เอ็มพีวี เชฟโรเลต สปิน จะหยุดจัดจำหน่ายเมื่อสิ้นสุดแผนการตลาดของรุ่นปีล่าสุด
นอกจากนี้จีเอ็ม ประเทศไทย ยังเพื่อเน้นย้ำถึงแผนธุรกิจใหม่ ที่มุ่งเน้นในตลาดรถกระบะและรถเอสยูวี จีเอ็ม ประเทศไทยได้แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้วว่าจะถอนตัวจากการเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ ระยะที่ 2
อย่างไรก็ตาม เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทยจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าต่อไป โดยมุ่งเน้นที่บริการหลังการขาย หรือโปรแกรมเชฟโรเลต คอมพลีท แคร์ (Chevrolet Complete Care) ซึ่งเป้าหมายของเชฟโรเลตคือการยกระดับการบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ยอดเยี่ยมจากเชฟโรเลตอย่างต่อเนื่อง
“เชฟโรเลต คอมพลีท แคร์ให้ลูกค้าเป็นหัวใจในทุกสิ่งที่เชฟโรเลตดำเนินการและให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน” เพอร์ตีกล่าว
หลังจากเมื่อศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจนเนอรัล มอเตอร์ส เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศแผนปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยที่มีการยุติการผลิตรถยนต์นั่ง เชฟโรเลต สปิน พร้อมกับหยุดการจำหน่ายรถดังกล่าว และรุ่นเชฟโรเลต สปิน รวมถึงปรับโครงสร้างองค์กรในประเทศไทย โดยอ้างว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทุกฝ่าย และเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้แก่พนักงาน ด้วยการเปิดโครงการพนักงานลาออกโดยสมัครใจ (Voluntary Separation Program) โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่พึงพอใจสำหรับพนักงานในปัจจุบันที่ต้องการจะเข้าร่วมโครงการ ทั้งพนักงานในส่วนสำนักงานและระดับปฏิบัติการ (salaried and hourly)
ทั้งนี้จีเอ็ม ประเทศไทย ได้มีหนังสือแจ้งโครงการสมัครใจลาออก เพื่อปรับ ลด จำนวนพนักงานในส่วนต่างๆ ในองค์ของแต่ละบริษัทในทุกฝ่าย ทั้งระดับ Salaried และระดับ Hourly ประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด โดยกำหนดรับสมัครพนักงานลาออกโดยสมัครใจ เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.เป็นวันแรก และจะมีไปจนถึงวันที่ 12 มี.ค.2558 นี้
ในส่วนของพนักงานที่สมัครใจลาออก และได้รับอนุมัติจากบริษัทต้นสังกัด จะได้รับเงินช่วยเหลือตามโครงการดังนี้ 1.เงินช่วยเหลือสามัญ จำนวนเดือนตามระยะเวลาอายุงาน(นับถึงวันสุดท้ายที่บริษัทฯ กำหนด) ไม่ครบ 1 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 1 เดือน, ครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 3 เดือน, ครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 6 เดือน, ครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี เงินช่วยเหลือสามัญ 8 เดือน, ครบ 10 ปีขึ้นไป เงินช่วยเหลือสามัญ 10 เดือน ทั้งนี้พนักงานที่ทำงานโรงงาน จ.ระยอง จะคำนวณจากฐานเงินเดือน + ค่าทำงานต่างจังหวัด
2. เงินช่วยเหลือพิเศษ ประกอบด้วย 2.1 มีเงินเดือนจำนวน 1 เดือน คำนวณจากฐานเงินเดือน (ทั้งนี้พนักงานที่ทำงานโรงงาน จ.ระยอง จะคำนวณจากฐานเงินเดือน + ค่าทำงานต่างจังหวัด) และ2.2 เงินโบนัสแบบไม่คงที่ประจำไตรมาสที่ 1 รวมจำนวน 1.125 เดือน บวก 11,250 บาท
“การพลิกโฉมธุรกิจไม่สามารถทำได้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง” มาร์คอส เพอร์ตี กรรมการผู้จัดการ จีเอ็ม ประเทศไทย และเชฟโรเลต เซลส์ประเทศไทย กล่าวถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจของจีเอ็ม ประเทศไทยในครั้งนี้ และว่า “เราจะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างองค์กรในประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสที่ดียิ่งขึ้นสำหรับธุรกิจ และในขณะเดียวกันเราก็มุ่งให้การช่วยเหลือพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบ”
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจีเอ็ม ประเทศไทย อ้างว่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความแข็งแกร่งของแบรนด์เชฟโรเลตในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีเอ็มจะปรับเปลี่ยนกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของตลาดและความต้องการของลูกค้า โดยยังคงทำการผลิตและจำหน่ายรถกระบะ เชฟโรเลต โคโลราโด, เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ และรถเอสยูวี เชฟโรเลต แคปติวา รวมถึงรถยนต์นั่ง เชฟโรเลต ครูซ ในประเทศไทยต่อไป ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 75% ของเชฟโรเลตในประเทศไทย และคิดเป็นสัดส่วนราว 95% ที่จีเอ็ม ประเทศไทยส่งออกสู่ต่างประเทศ ในส่วนของรถยนต์นั่งเชฟโรเลต โซนิค และรถอเนกประสงค์เอ็มพีวี เชฟโรเลต สปิน จะหยุดจัดจำหน่ายเมื่อสิ้นสุดแผนการตลาดของรุ่นปีล่าสุด
นอกจากนี้จีเอ็ม ประเทศไทย ยังเพื่อเน้นย้ำถึงแผนธุรกิจใหม่ ที่มุ่งเน้นในตลาดรถกระบะและรถเอสยูวี จีเอ็ม ประเทศไทยได้แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้วว่าจะถอนตัวจากการเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ ระยะที่ 2
อย่างไรก็ตาม เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทยจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าต่อไป โดยมุ่งเน้นที่บริการหลังการขาย หรือโปรแกรมเชฟโรเลต คอมพลีท แคร์ (Chevrolet Complete Care) ซึ่งเป้าหมายของเชฟโรเลตคือการยกระดับการบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ยอดเยี่ยมจากเชฟโรเลตอย่างต่อเนื่อง
“เชฟโรเลต คอมพลีท แคร์ให้ลูกค้าเป็นหัวใจในทุกสิ่งที่เชฟโรเลตดำเนินการและให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน” เพอร์ตีกล่าว
