เริ่มเป็นตลาดที่มีทิศทางสดใสขึ้นเรื่อยๆ กับรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก หรือส่วนใหญ่จะเรียกรวมๆ ว่าเป็นกลุ่ม “บี-เอสยูวี” (B-SUV) ซึ่งในต่างประเทศกำลังมาแรง โดยในเมืองไทยเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แม้จะมีผู้เล่นเพียง 2 ราย “นิสสัน จู๊ค” และ “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต” แต่ล่าสุดมีรถรุ่นใหม่เปิดตัว “ฮอนด้า เอชอาร์-วี” มาเขย่าตลาด พร้อมกับชูจุดขายที่แตกต่าง ส่วนจะโดดเด่นแค่ไหน? “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” นำข้อมูลมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดมากขึ้น…
รถยนต์ในกลุ่มบี-เอสยูวี หรือครอสโอเวอร์เล็ก ในไทยเคยมีทำตลาดมาแล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้รับความนิยมมากนัก อย่างที่เห็น “ซูซูกิ เอสเอ็กซ์-4” หรือแม้แต่ “นิสสัน จู๊ค” ก็ไม่ใช่ใหม่ เพราะในต่างประเทศมีทำตลาดมานานหลายปี และมีเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาขายราคาทะลุล้านบาท แต่เมื่อนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย นำเข้ามาทำตลาดเมื่อปีที่ผ่านมาในราคาเพียงกว่า 8 แสนบาท ประกอบกับฟอร์ด ประเทศไทย ได้เปิดตัวรุ่น “เอคโค่สปอร์ต” ออกสู่ตลาดไล่เลี่ยกัน ทำให้กระแสได้รับความสนใจอย่างมาก เช่นเดียวกับต่างประเทศที่หลายค่ายรถได้พัฒนารถประเภทนี้ออกสู่ตลาดกันอย่างคึกคัก ซึ่งในเร็วๆ นี้มาสด้ากำลังจะเผยโฉมคัน “มาสด้า ซีเอ็กซ์-3” (Mazda CX-3) ในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2014 ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้เช่นกัน
สำหรับ “ฮอนด้า เอชอาร์-วี” (Honda HR-V) เผยโฉมอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่แล้ว ในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2013 หลังจากจึงเริ่มวางขายในญี่ปุ่นและหลายประเทศในทั่วโลก โดยมีให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร และ 1.8 ลิตร แต่ในไทยเลือกมาทำตลาดเบื้องต้นเฉพาะเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร นั่นต้องการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เป็นพรีเมียมครอสโอเวอร์ เพื่อไม่ให้ชนกับคู่แข่งอย่าง “นิสสัน จู๊ค” หรือ “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต” โดยตรง
การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่ถือว่าผิดแปลกแต่อย่างใด หากดูเรื่องของเครื่องยนต์ และขนาดตัวถัง แม้จะพัฒนาบนพื้นฐานของซับคอมแพ็กต์รุ่น “แจ๊ซ” แต่ฮอนด้านับว่ามีความถนัดอยู่แล้วในการขยายฐานล้อ ดังจะเห็นได้จากการพัฒนารถรุ่น “ฟรีด” ที่พัฒนาจากพื้นฐานตัวถังรุ่นแจ๊ซเช่นกัน เพื่อเป็นพรีเมียมมินิเอ็มพีวี หรือรถที่มีพื้นฐานตัวถังเล็กกว่าอย่างรุ่น “บริโอ้” ยังพัฒนาเป็นมินิเอ็มพีวี “ฮอนด้า โมบิลิโอ” ที่เพิ่งแนะนำสู่ตลาดไทยเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ดังนั้นฮอนด้า เอชอาร์-วี หากเทียบกับมิติตัวถังกับบี-เอสยูวีในตลาดไทยปัจจุบัน จึงมีขนาดใหญ่กว่าในทุกมิติ (ดูตารางเปรียบเทียบข้อมูลรถกลุ่มบี-เอสยูวีประกอบ) รวมถึงรถที่ใช้พื้นฐานตัวถังพัฒนาอย่างแจ๊ซ(ฐานล้อ 2,530) และแม้จะวางให้ดูหรูหราแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ความดุดันกับความสูงใต้ท้องรถ 185 มิลลิเมตร อาจจะต่ำกว่าฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต (พัฒนาบนพื้นฐานตัวถังของ ฟอร์ด เฟียสต้า) ที่มุ่งใช้งานลุยๆ จึงได้มีระยะต่ำสุดจากพื้นถึง 200 มม. แต่เอชอาร์-วีได้ผสานความสปอร์ตดุดันกับล้อขนาด 215/55 R17 ซึ่งมาในแนวทางเดียวกับ นิสสัน จู๊ค
อย่างไรก็ตาม นิสสัน จู๊ค ได้มีการออกแบบหน้าตาดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว และเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ขณะที่ฮอนด้า เอชอาร์-วีดูจะออกมาในสไตล์สปอร์ตครอสโอเวอร์ชัดเจนกว่า แต่ยังคงเส้นสายดูพรีเมียมในแนวทางเดียวกับรุ่น “ฮอนด้า ซีอาร์-วี” ซึ่งจะแตกต่างจาก “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต” ที่ออกในแนวทางลุยๆ ไม่ได้โฉบเฉี่ยวมากนัก
ยิ่งมาพิจารณาการวางเครื่องยนต์ในรุ่นเอชอาร์-วี แม้ฮอนด้าจะจับกลุ่มลูกค้า New Entry หรือคนรุ่นใหม่ แต่เป็นกลุ่มระดับบนที่ใกล้เคียงกับ “ฮอนด้า ซีอาร์-วี” คอมแพ็กต์เอสยูวีที่สร้างชื่อของฮอนด้า จึงวางเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 141 แรงม้า นับว่าสมรรถนะเรื่องความแรงโดดเด่นกว่าบี-เอสยูวีที่มีในตลาดไทยปัจจุบันอย่างชัดเจน(ดูตารางประกอบ)
เช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มา จะเห็นว่าเอชอาร์-วีเน้นความหรูหราชัดเจน จากการติดตั้งหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา ที่ส่วนใหญ่จะเห็นในรถราคาระดับหลักล้านขึ้นไป โดยฟอร์ด เอคโค่สปอร์ตเป็นอีกรายที่มีมาให้ และเอชอาร์-วียังมากับไฟส่องสว่างขับขี่กลางวันแบบ LED เช่นเดียวกับไฟท้าย นับว่าโดดเด่นทันสมัยกว่าอีก 2 รุ่นในกลุ่มบี-เอสยูวี โดยไฟหน้ายังปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ(มีมาให้เหมือนกันทุกโมเดล แต่อาจจะไม่ครบทุกรุ่น) รวมถึงระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติที่มีเพียงเอชอาร์-วี และฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต (เฉพาะรุ่นท็อป)
สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะมีมาให้เหมือนๆ กัน แต่จะมีบางอย่างที่ฮอนด้า เอชอาร์-วี เติมความหรูหรามาให้ตามคอนเซ็ปต์ อย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control System) หรือระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ขณะที่ระบบเครื่องเสียงรุ่นเอชอาร์-วีติดตั้งเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี MP3 แบบ 1 แผ่น โดยในรุ่นต่ำจะมีจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว และรุ่นสูงขึ้นไปเป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว โดยพวงมาลัยทุกรุ่นย่อยจะมีสวิตช์ควบคุมเครื่อเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ แต่รุ่นท็อปยังเพิ่มปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงการขับขี่ด้วย และยังรองรับระบบสั่งด้วยสั่ง SIRI รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และช่องเชื่อมต่อต่างๆ
โดยบี-เอสยูวีในกลุ่มจะติดตั้งมาให้คล้ายๆ กัน แต่จู๊คจะมีโหมดขับขี่มาในแบบปกติ สปอร์ต และประหยัดมาให้ และในทุกรุ่นย่อยหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบ I-Connect และสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างเช่นกัน แต่ยังเพิ่มการรองรับ i-Pod, WI-FI และ Micro SD แต่ไม่เชื่อมต่อ HDMI เหมือนกับรุ่นเอชอาร์-วี ส่วนฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต ติดตั้งจอข้อมูลมาให้และจุดขายระบบคำสั่งด้วยเสียง SYNC ที่กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถฟอร์ดไปแล้ว
ในส่วนของอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานมาเหมือนกันหมด แต่เอชอาร์-วีโดดเด่นในเรื่องถุงลมนิรภัยด้านข้างในรุ่นท็อป ระบบควบคุมการบังคับพวงมาลัย และสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกระทันหัน นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และระบบช่วยควบคุมการทรงตัว เช่นเดียวกับฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต ที่รุ่นนี้ยังเพิ่มความโดดเด่นกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล ขณะที่นิสสัน จู๊ค ติดตั้งกล้องมองหลังเหมือนกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วีมาให้ด้วย
ฮอนด้า เอชอาร์-วี วางตลาดกับ 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่ม 8.90 แสนบาท ไปจนถึงรุ่นท็อป 1.045 ล้านบาท นับว่าราคาโดดกว่ารายอื่นๆ จากการวางเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบกับการวางตำแหน่งสินค้าให้เป็นพรีเมียมครอสโอเวอร์เล็ก ขณะที่นิสสัน จู๊ค เปิดจำหน่าย 2 รุ่นย่อย ราคา 8.19-8.58 แสนบาท และฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต แม้เครื่องยนต์จะเล็กสุดแต่จับตลาดค่อนข้างกว้าง มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ราคาเริ่มตั้งแต่ 6.69-8.29 แสนบาท
จากการวางตลาดของบี-เอสยูวีแต่ละรุ่นในไทย ชัดเจนจะมีการวางกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างต่างกัน “ฮอนด้า เอชอาร์-วี” จะเป็นกลุ่มบน ส่วน “นิสสัน จู๊ค” จับกลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มีสไตล์ และล่างลงมาชอบลุยๆ ราคาเป็นจุดตัดสินใจสำคัญ นี่คือกลุ่มของ “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต”…
***แจกบัตรฟรี! ผู้อ่านท่านใดสนใจเข้าชมงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” หรือมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2014 ณ อิมแพค ชานเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี วันที่ 29 พ.ย.-10 ธ.ค.นี้ สามารถมารับบัตรได้คนละ 4 ใบ ที่บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. โทร 02-629-4488 มารับช่วงเวลาทำการ 8.00-18.00 น. บัตรมีจำนวนจำกัด***
รถยนต์ในกลุ่มบี-เอสยูวี หรือครอสโอเวอร์เล็ก ในไทยเคยมีทำตลาดมาแล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้รับความนิยมมากนัก อย่างที่เห็น “ซูซูกิ เอสเอ็กซ์-4” หรือแม้แต่ “นิสสัน จู๊ค” ก็ไม่ใช่ใหม่ เพราะในต่างประเทศมีทำตลาดมานานหลายปี และมีเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาขายราคาทะลุล้านบาท แต่เมื่อนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย นำเข้ามาทำตลาดเมื่อปีที่ผ่านมาในราคาเพียงกว่า 8 แสนบาท ประกอบกับฟอร์ด ประเทศไทย ได้เปิดตัวรุ่น “เอคโค่สปอร์ต” ออกสู่ตลาดไล่เลี่ยกัน ทำให้กระแสได้รับความสนใจอย่างมาก เช่นเดียวกับต่างประเทศที่หลายค่ายรถได้พัฒนารถประเภทนี้ออกสู่ตลาดกันอย่างคึกคัก ซึ่งในเร็วๆ นี้มาสด้ากำลังจะเผยโฉมคัน “มาสด้า ซีเอ็กซ์-3” (Mazda CX-3) ในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2014 ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้เช่นกัน
สำหรับ “ฮอนด้า เอชอาร์-วี” (Honda HR-V) เผยโฉมอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่แล้ว ในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2013 หลังจากจึงเริ่มวางขายในญี่ปุ่นและหลายประเทศในทั่วโลก โดยมีให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร และ 1.8 ลิตร แต่ในไทยเลือกมาทำตลาดเบื้องต้นเฉพาะเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร นั่นต้องการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เป็นพรีเมียมครอสโอเวอร์ เพื่อไม่ให้ชนกับคู่แข่งอย่าง “นิสสัน จู๊ค” หรือ “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต” โดยตรง
การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่ถือว่าผิดแปลกแต่อย่างใด หากดูเรื่องของเครื่องยนต์ และขนาดตัวถัง แม้จะพัฒนาบนพื้นฐานของซับคอมแพ็กต์รุ่น “แจ๊ซ” แต่ฮอนด้านับว่ามีความถนัดอยู่แล้วในการขยายฐานล้อ ดังจะเห็นได้จากการพัฒนารถรุ่น “ฟรีด” ที่พัฒนาจากพื้นฐานตัวถังรุ่นแจ๊ซเช่นกัน เพื่อเป็นพรีเมียมมินิเอ็มพีวี หรือรถที่มีพื้นฐานตัวถังเล็กกว่าอย่างรุ่น “บริโอ้” ยังพัฒนาเป็นมินิเอ็มพีวี “ฮอนด้า โมบิลิโอ” ที่เพิ่งแนะนำสู่ตลาดไทยเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ดังนั้นฮอนด้า เอชอาร์-วี หากเทียบกับมิติตัวถังกับบี-เอสยูวีในตลาดไทยปัจจุบัน จึงมีขนาดใหญ่กว่าในทุกมิติ (ดูตารางเปรียบเทียบข้อมูลรถกลุ่มบี-เอสยูวีประกอบ) รวมถึงรถที่ใช้พื้นฐานตัวถังพัฒนาอย่างแจ๊ซ(ฐานล้อ 2,530) และแม้จะวางให้ดูหรูหราแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ความดุดันกับความสูงใต้ท้องรถ 185 มิลลิเมตร อาจจะต่ำกว่าฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต (พัฒนาบนพื้นฐานตัวถังของ ฟอร์ด เฟียสต้า) ที่มุ่งใช้งานลุยๆ จึงได้มีระยะต่ำสุดจากพื้นถึง 200 มม. แต่เอชอาร์-วีได้ผสานความสปอร์ตดุดันกับล้อขนาด 215/55 R17 ซึ่งมาในแนวทางเดียวกับ นิสสัน จู๊ค
อย่างไรก็ตาม นิสสัน จู๊ค ได้มีการออกแบบหน้าตาดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว และเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ขณะที่ฮอนด้า เอชอาร์-วีดูจะออกมาในสไตล์สปอร์ตครอสโอเวอร์ชัดเจนกว่า แต่ยังคงเส้นสายดูพรีเมียมในแนวทางเดียวกับรุ่น “ฮอนด้า ซีอาร์-วี” ซึ่งจะแตกต่างจาก “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต” ที่ออกในแนวทางลุยๆ ไม่ได้โฉบเฉี่ยวมากนัก
ยิ่งมาพิจารณาการวางเครื่องยนต์ในรุ่นเอชอาร์-วี แม้ฮอนด้าจะจับกลุ่มลูกค้า New Entry หรือคนรุ่นใหม่ แต่เป็นกลุ่มระดับบนที่ใกล้เคียงกับ “ฮอนด้า ซีอาร์-วี” คอมแพ็กต์เอสยูวีที่สร้างชื่อของฮอนด้า จึงวางเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 141 แรงม้า นับว่าสมรรถนะเรื่องความแรงโดดเด่นกว่าบี-เอสยูวีที่มีในตลาดไทยปัจจุบันอย่างชัดเจน(ดูตารางประกอบ)
เช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มา จะเห็นว่าเอชอาร์-วีเน้นความหรูหราชัดเจน จากการติดตั้งหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา ที่ส่วนใหญ่จะเห็นในรถราคาระดับหลักล้านขึ้นไป โดยฟอร์ด เอคโค่สปอร์ตเป็นอีกรายที่มีมาให้ และเอชอาร์-วียังมากับไฟส่องสว่างขับขี่กลางวันแบบ LED เช่นเดียวกับไฟท้าย นับว่าโดดเด่นทันสมัยกว่าอีก 2 รุ่นในกลุ่มบี-เอสยูวี โดยไฟหน้ายังปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ(มีมาให้เหมือนกันทุกโมเดล แต่อาจจะไม่ครบทุกรุ่น) รวมถึงระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติที่มีเพียงเอชอาร์-วี และฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต (เฉพาะรุ่นท็อป)
สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะมีมาให้เหมือนๆ กัน แต่จะมีบางอย่างที่ฮอนด้า เอชอาร์-วี เติมความหรูหรามาให้ตามคอนเซ็ปต์ อย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control System) หรือระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ขณะที่ระบบเครื่องเสียงรุ่นเอชอาร์-วีติดตั้งเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี MP3 แบบ 1 แผ่น โดยในรุ่นต่ำจะมีจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว และรุ่นสูงขึ้นไปเป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว โดยพวงมาลัยทุกรุ่นย่อยจะมีสวิตช์ควบคุมเครื่อเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ แต่รุ่นท็อปยังเพิ่มปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงการขับขี่ด้วย และยังรองรับระบบสั่งด้วยสั่ง SIRI รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน และช่องเชื่อมต่อต่างๆ
โดยบี-เอสยูวีในกลุ่มจะติดตั้งมาให้คล้ายๆ กัน แต่จู๊คจะมีโหมดขับขี่มาในแบบปกติ สปอร์ต และประหยัดมาให้ และในทุกรุ่นย่อยหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบ I-Connect และสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างเช่นกัน แต่ยังเพิ่มการรองรับ i-Pod, WI-FI และ Micro SD แต่ไม่เชื่อมต่อ HDMI เหมือนกับรุ่นเอชอาร์-วี ส่วนฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต ติดตั้งจอข้อมูลมาให้และจุดขายระบบคำสั่งด้วยเสียง SYNC ที่กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถฟอร์ดไปแล้ว
ในส่วนของอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานมาเหมือนกันหมด แต่เอชอาร์-วีโดดเด่นในเรื่องถุงลมนิรภัยด้านข้างในรุ่นท็อป ระบบควบคุมการบังคับพวงมาลัย และสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกระทันหัน นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และระบบช่วยควบคุมการทรงตัว เช่นเดียวกับฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต ที่รุ่นนี้ยังเพิ่มความโดดเด่นกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล ขณะที่นิสสัน จู๊ค ติดตั้งกล้องมองหลังเหมือนกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วีมาให้ด้วย
ฮอนด้า เอชอาร์-วี วางตลาดกับ 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่ม 8.90 แสนบาท ไปจนถึงรุ่นท็อป 1.045 ล้านบาท นับว่าราคาโดดกว่ารายอื่นๆ จากการวางเครื่องยนต์และอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบกับการวางตำแหน่งสินค้าให้เป็นพรีเมียมครอสโอเวอร์เล็ก ขณะที่นิสสัน จู๊ค เปิดจำหน่าย 2 รุ่นย่อย ราคา 8.19-8.58 แสนบาท และฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต แม้เครื่องยนต์จะเล็กสุดแต่จับตลาดค่อนข้างกว้าง มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย ราคาเริ่มตั้งแต่ 6.69-8.29 แสนบาท
จากการวางตลาดของบี-เอสยูวีแต่ละรุ่นในไทย ชัดเจนจะมีการวางกลุ่มเป้าหมายค่อนข้างต่างกัน “ฮอนด้า เอชอาร์-วี” จะเป็นกลุ่มบน ส่วน “นิสสัน จู๊ค” จับกลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มีสไตล์ และล่างลงมาชอบลุยๆ ราคาเป็นจุดตัดสินใจสำคัญ นี่คือกลุ่มของ “ฟอร์ด เอคโค่สปอร์ต”…
***แจกบัตรฟรี! ผู้อ่านท่านใดสนใจเข้าชมงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” หรือมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2014 ณ อิมแพค ชานเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี วันที่ 29 พ.ย.-10 ธ.ค.นี้ สามารถมารับบัตรได้คนละ 4 ใบ ที่บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. โทร 02-629-4488 มารับช่วงเวลาทำการ 8.00-18.00 น. บัตรมีจำนวนจำกัด***