ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาถือเป็นห่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนของธุรกิจรถยนต์มือสอง โดยเฉพาะกลุ่มเก๋งเล็กที่โดนไปเต็มๆจากราคารถใหม่ป้ายแดงถูกลง ตลอดจนการเล่นแคมเปญแรงต่อเนื่องของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ส่งผลให้ราคาผันผวนเป็นอย่างมาก แต่ทำไม“กัลลิเวอร์”เบอร์หนึ่งในตลาดรถยนต์มือสองของญี่ปุ่นที่ร่วมทุนกับ “วี-กรุ๊ป” ของไทย ยังมั่นใจในการทำธุรกิจ พร้อมเดินหน้าขยายกิจการกับรูปแบบแฟรนไชส์… ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง สัมภาษณ์ “คัทสึชิ โนมูระ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท วี-กัลลิเวอร์ จำกัด ถึงแผนการรุกตลาดไทย ในยุคแห่งการปรับตัว
- มองตลาดรถยนต์มือสองในไทยอย่างไร
จากการศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจ เราพบว่าประเทศไทยยังมีสัดส่วนของคนมีบ้านต่อการถือครองรถยนต์น้อยมาก หรือเพียง 13.8% เท่านั้นเมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่นที่มีถึง 86% ดังนั้นตลาดรถยนต์ของไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายรถยนต์คันแรก ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ทำได้ 1.3-1.4 ล้านคันต่อปี ดังนั้นจึงมีรถเข้ามาในระบบเยอะ แล้วก็มีบางส่วนที่ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระและถูกยึด จนถูกนำมาประมูลขายทอดตลาดมากขึ้น
“เมื่อมีรถหลุดและถูกนำมาประมูลจนมากกว่าความต้องการของตลาด ก็เป็นธรรมดาที่ราคาจะลดลง ซึ่งถือเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อ ขณะเดียวกันนโยบายอัดแคมเปญรถใหม่ของค่ายรถยนต์ เราเชื่อว่าต้องมีวันชะลอ ไม่สามารถสนับสนุนได้ตลอดไป และจากนั้นราคาจะเข้าสู่ภาวะสมดุล
- ทำความรู้จัก“วี-กัลลิเวอร์”
เราเริ่มเปิดสาขาแรกในเมืองไทยที่ถนนศรีนครินทร์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในช่วงแรกต้องยอมรับว่าบริษัทอาจจะไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก แต่ในญี่ปุ่นเราเป็นอันดับหนึ่ง ดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี มีสาขากว่า 430 แห่งทั่วประเทศ แต่ละปีมีการจัดซื้อรถมือสองประมาณ 200,000 คัน
ในเมืองไทยเราได้เปิดการเจรจากับบริษัทและนักธุรกิจอิสระที่สนใจร่วมเป็นแฟรนไชส์ ทั้งบริษัทรถมือสอง ผู้ประกอบการรถใหม่ บริษัทประมูล บริษัทรถเช่า เพื่อมาร่วมขยายเครือข่ายของกัลลิเวอร์ในประเทศไทย โดยผู้ที่ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจและผ่านการพิจารณาจะได้รับการฝึกอบรมแนวทางการดำเนินธุรกิจรถมือสองจากระบบที่ได้รับการพิสูจน์มานานกว่า 20 ปีจากประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการสนับสนุนระบบของกัลลิเวอร์ ได้แก่ระบบ PSA - Purchase and Sales Assessment System ทั้งนี้สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้น 25 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท(ไม่รวมที่ดิน) และที่เหลือจะเป็นในส่วนของสต็อครถและค่าดำเนินการ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 3 ปี
- ทำไมต้องซื้อรถกับ“วี-กัลลิเวอร์”
เราทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ลูกค้าอาจจะไม่ได้ซื้อรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุด หรือขายแพงที่สุดกับเรา แต่สิ่งที่ได้รับคือความมั่นใจ ทั้งระบบการรับประกันความพึงพอใจ ด้วยเงื่อนไขการรับซื้อคืนเต็มมูลค่าที่ขายภายใน 30 วันหรือ 5,000 กิโลเมตร รวมถึงการรับประกัน 10,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งข้อเสนอการซื้อประกันเพิ่มอีก 1 - 3 ปีแล้วแต่อายุรถ ขณะเดียวกันยังจัดการเรื่องเอกสาร การโอนต่างๆให้อย่างถูกต้อง ลูกค้าจึงไม่มีความเสี่ยงใดๆ
กลยุทธ์ในการบุกตลาดไทย
แบ่งเป็น 3 ประการคือ 1.เน้นสร้างการรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจของ วี-กัลลิเวอร์ ให้คนไทยได้รู้จัก 2. ทำแพกเกจแฟรนไชส์ให้สามารถตอบสนองคู่ค้าที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจ และ3.ขยายเครือข่ายแฟรนไชส์ให้ได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันยังต้องทำกิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์ ซึ่งเราเน้นไปที่สื่อออนไลน์ และกิจกรรมเข้าถึงตัวผู้บริโภคโดยตรง
แผนการเพิ่มสาขาและเป้าหมาย
ล่าสุดเราเปิดสาขาสองที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยการลงทุนของกลุ่มวี-กรุ๊ป(ผู้ถือหุ้น) บนพื้นที่ 1 ไร่ และสามารถจอดรถได้ 50 คัน จากนั้นเตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ถนนนวมินทร์ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ซึ่งในปีนี้จะเปิดรวม 10 แห่ง
ในช่วงแรกเรายังรับรถยนต์มาจากการประมูลเป็นหลัก และน่าจะขายได้ 15-25 คันต่อเดือนต่อสาขา ทั้งนี้เราตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปี วี-กัลลิเวอร์ จะขึ้นแท่นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์มืองสองของประเทศไทย ด้วยเครือข่ายกว่า 300 สาขา พร้อมยอดขาย 50 คันต่อเดือนต่อสาขา
ติดตามอ่าน... บุกบ้าน“กัลลิเวอร์”ยักษ์ใหญ่ยูสคาร์ญี่ปุ่น
- มองตลาดรถยนต์มือสองในไทยอย่างไร
จากการศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจ เราพบว่าประเทศไทยยังมีสัดส่วนของคนมีบ้านต่อการถือครองรถยนต์น้อยมาก หรือเพียง 13.8% เท่านั้นเมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่นที่มีถึง 86% ดังนั้นตลาดรถยนต์ของไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายรถยนต์คันแรก ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ทำได้ 1.3-1.4 ล้านคันต่อปี ดังนั้นจึงมีรถเข้ามาในระบบเยอะ แล้วก็มีบางส่วนที่ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระและถูกยึด จนถูกนำมาประมูลขายทอดตลาดมากขึ้น
“เมื่อมีรถหลุดและถูกนำมาประมูลจนมากกว่าความต้องการของตลาด ก็เป็นธรรมดาที่ราคาจะลดลง ซึ่งถือเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อ ขณะเดียวกันนโยบายอัดแคมเปญรถใหม่ของค่ายรถยนต์ เราเชื่อว่าต้องมีวันชะลอ ไม่สามารถสนับสนุนได้ตลอดไป และจากนั้นราคาจะเข้าสู่ภาวะสมดุล
- ทำความรู้จัก“วี-กัลลิเวอร์”
เราเริ่มเปิดสาขาแรกในเมืองไทยที่ถนนศรีนครินทร์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในช่วงแรกต้องยอมรับว่าบริษัทอาจจะไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก แต่ในญี่ปุ่นเราเป็นอันดับหนึ่ง ดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี มีสาขากว่า 430 แห่งทั่วประเทศ แต่ละปีมีการจัดซื้อรถมือสองประมาณ 200,000 คัน
ในเมืองไทยเราได้เปิดการเจรจากับบริษัทและนักธุรกิจอิสระที่สนใจร่วมเป็นแฟรนไชส์ ทั้งบริษัทรถมือสอง ผู้ประกอบการรถใหม่ บริษัทประมูล บริษัทรถเช่า เพื่อมาร่วมขยายเครือข่ายของกัลลิเวอร์ในประเทศไทย โดยผู้ที่ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจและผ่านการพิจารณาจะได้รับการฝึกอบรมแนวทางการดำเนินธุรกิจรถมือสองจากระบบที่ได้รับการพิสูจน์มานานกว่า 20 ปีจากประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการสนับสนุนระบบของกัลลิเวอร์ ได้แก่ระบบ PSA - Purchase and Sales Assessment System ทั้งนี้สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้น 25 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท(ไม่รวมที่ดิน) และที่เหลือจะเป็นในส่วนของสต็อครถและค่าดำเนินการ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 3 ปี
- ทำไมต้องซื้อรถกับ“วี-กัลลิเวอร์”
เราทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ลูกค้าอาจจะไม่ได้ซื้อรถยนต์ที่ราคาถูกที่สุด หรือขายแพงที่สุดกับเรา แต่สิ่งที่ได้รับคือความมั่นใจ ทั้งระบบการรับประกันความพึงพอใจ ด้วยเงื่อนไขการรับซื้อคืนเต็มมูลค่าที่ขายภายใน 30 วันหรือ 5,000 กิโลเมตร รวมถึงการรับประกัน 10,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งข้อเสนอการซื้อประกันเพิ่มอีก 1 - 3 ปีแล้วแต่อายุรถ ขณะเดียวกันยังจัดการเรื่องเอกสาร การโอนต่างๆให้อย่างถูกต้อง ลูกค้าจึงไม่มีความเสี่ยงใดๆ
กลยุทธ์ในการบุกตลาดไทย
แบ่งเป็น 3 ประการคือ 1.เน้นสร้างการรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจของ วี-กัลลิเวอร์ ให้คนไทยได้รู้จัก 2. ทำแพกเกจแฟรนไชส์ให้สามารถตอบสนองคู่ค้าที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจ และ3.ขยายเครือข่ายแฟรนไชส์ให้ได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันยังต้องทำกิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์ ซึ่งเราเน้นไปที่สื่อออนไลน์ และกิจกรรมเข้าถึงตัวผู้บริโภคโดยตรง
แผนการเพิ่มสาขาและเป้าหมาย
ล่าสุดเราเปิดสาขาสองที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยการลงทุนของกลุ่มวี-กรุ๊ป(ผู้ถือหุ้น) บนพื้นที่ 1 ไร่ และสามารถจอดรถได้ 50 คัน จากนั้นเตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ถนนนวมินทร์ เชียงใหม่ สมุทรปราการ ซึ่งในปีนี้จะเปิดรวม 10 แห่ง
ในช่วงแรกเรายังรับรถยนต์มาจากการประมูลเป็นหลัก และน่าจะขายได้ 15-25 คันต่อเดือนต่อสาขา ทั้งนี้เราตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปี วี-กัลลิเวอร์ จะขึ้นแท่นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์มืองสองของประเทศไทย ด้วยเครือข่ายกว่า 300 สาขา พร้อมยอดขาย 50 คันต่อเดือนต่อสาขา
ติดตามอ่าน... บุกบ้าน“กัลลิเวอร์”ยักษ์ใหญ่ยูสคาร์ญี่ปุ่น